fbpx

เมื่อพ่อแม่ต้องแยกกันอยู่ ดูแลจิตใจลูกอย่างไร

Writer : giftoun
: 17 กรกฏาคม 2561

เมื่อถึงวันที่คุณพ่อและคุณแม่ตัดสินใจแยกกัยอยู่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือสภาพจิตใจลูกนี่เอง จะดูแลได้อย่างไรบ้างนั้น มาดูกันเลยค่ะ

บอกลูกตั้งแต่เนิ่นๆ

การเตรียมตัวบอกลูกแต่เนิ่นๆ จะกระทบต่อจิตใจของเด็กน้อยที่สุด ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ก่อนแยกทางประมาณ 6 เดือน -1 ปี ควรเริ่มบอกเมื่อลูกอยู่ในวัยที่สามารถรับรู้และเข้าใจความหมายของภาษา ซึ่งอาจจะเป็นวัยประถม สำหรับเด็กช่วงวัย 0-6 ปี นั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะรุนแรงน้อยกว่าช่วงวัยรุ่นเพราะเด็กวัยนี้หาก ได้รับความรัก ความอบอุ่น และการดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่ เขาจะไม่รู้สึกว่าคนใดคนหนึ่งหายไปหรือกำลังเกิดปัญหาขึ้นค่ะ

ไม่โกหกลูก

ขณะเดียวกันหากลูกถามถึงคุณพ่อหรือคุณแม่ก็ควรจะตอบแบบไม่โกหกลูก ให้ตอบคำถามตามความเป็นจริงว่า คุณพ่อหรือคุณแม่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับเราแล้ว ถ้าอยากเจอก็สามารถโทรนัดได้เลย ทั้งนี้น้ำเสียงและท่าที่พูดกับลูกควรทำให้เป็นเรื่องปกติค่ะ

สร้างข้อตกลงร่วมกัน

ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ควรมีข้อตกลงร่วมกัน และเปิดโอกาสให้ต่างฝ่ายต่างได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ เช่น คุณพ่อไปโรงเรียนลูกในวันพ่อ คุณแม่มีเวลาร่วมกันกับลูกอย่างสม่ำเสมอ ได้เจอทั้งคุณพ่อและคุณแม่ในโอกาสพิเศษ เป็นต้น

คอยเติมความรักและความอบอุ่น

ความรักและความอบอุ่นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ลูกต้องการจากคุณพ่อและคุณแม่มากที่สุด ไม่สร้างความรู้สึกเกลียดชังและทัศนคติที่ไม่ดี พยายามทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นจะทำให้เด็กรู้สึกว่าลูกเป็นเด็กที่มีพร้อมทั้งพ่อแม่และไม่ขาดความรักจากคนใดคนหนึ่งไปเลย

ไม่ทะเลาะต่อหน้าลูก

การทะเลาะกันต่อหน้าลูกถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างมาก จะทำให้ลูกนั้นซึมซับกับความขัดแย้งจนกลายเป็นคนที่ก้าวร้าวโดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ถ้าเป็นไปได้อย่าให้ลูกเห็นคุณพ่อและคุณแม่ที่เค้ารักทะเลาะกันต่อหน้าเลย เรื่องแบบนี้ลูกรับรู้ได้ถึงแม้จะพูดไม่ได้ก็ตามค่ะ

ไม่แสดงอาการเครียดต่อหน้าลูก

ความเครียดเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่ส่งต่อถึงลูกได้ง่ายมากเลยทีเดียว ยิ่งแสดงอาการเครียดต่อหน้าลูกมากเท่าไร ลูกก็จะได้พลังลบมากเท่านั้น ไม่ดีต่อตัวลูกเลยแม่แต่น้อย ยังไงคุณพ่อหรือคุณแม่ควรผ่อนคลายบ้าง จะได้อารมณ์ดีเวลาอยู่ต่อหน้าลูกค่ะ

ยังเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูก

ไม่ว่าความสัมพันธ์ทั้งคู่จะเป็นเช่นไร คุณพ่อและคุณแม่ยังเป็นฮีโร่ในสายตาลูกเสมอ สามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูกได้ อย่าลืมว่าลูกยังอยู่ในวัยที่ชอบเลียนแบบสิ่งที่อยู่รอบตัว ถ้าอยากให้ลูกโตขึ้นมาเป็นแบบไหนก็ควรเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านนั้นด้วยค่ะ

อย่างไรก็ตาม วิธีการดูแลจิตใจลูกของแต่ละบ้านก็แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งสำคัญคือต้องมองที่ลูกเป็นหลัก และเมื่อทุกฝ่ายเห็นแก่ลูก การทะเลาะเบาะแว้งหรือทิฐิที่มีต่อกันจะลดน้อยลงค่ะ

ที่มา

Writer Profile : giftoun


  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



เตรียมตัวเป็นแม่ เตรียมตัวเป็นแม่
14 สิงหาคม 2561
8 วิธีให้ลูกดื่มน้ำเยอะขึ้น
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save