fbpx

4 ผลกระทบต่อสมองและพัฒนาการเด็ก ที่พ่อแม่ควรรู้จากการเลี้ยงลูกให้ติดจอ

Writer : Jicko
: 24 ธันวาคม 2562

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เด็กกับเทคโนโลยีเป็นของคู่กันในยุคสมัยนี้ เด็กที่โตแล้วไม่เท่าไหร่ แต่เด็กเล็กนี่สิที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบ ซึ่งเรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ที่พ่อแม่มักจะแก้ปัญหา โดยการโยนมือถือ หรือแท็บเล็ต ให้ลูกเมื่อไม่มีเวลาหรือลูกงอแง

การที่พ่อแม่ใช้สื่อผ่านหน้าจอเพียงอย่างเดียวในการเลี้ยงลูกนั้น จริงๆ แล้วไม่มีส่งผลในการเสริมพัฒนาการเด็กนะคะ  แต่มันจะส่งผลกระทบต่อสอมงและทำให้พัฒนาการของเด็กนั้นแย่ลงอีกด้วย

4 ผลกระทบต่อสมองและพัฒนาการเด็กที่พ่อแม่ควรรู้

1.ด้านพัฒนาการ

หากเป็นเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบ จะทำให้เขามีพัฒนาการด้านภาษา กล้ามเนื้อมัดเล็ก และสติปัญญาที่ช้า เนื่องจากเด็กจะจ้องแต่จอ ขาดการติดต่อสื่อสาร ฟังอย่างเดียว ทำให้พูดน้อยลง ส่วนกล้ามเนื้อมัดเล็กนั้นก็มีผลด้วย เนื่องจากปกติเด็กจะได้เล่นของเล่นเสริมพัฒนาการ จับโน้นนั้นนี่ ทำให้กล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงกว่าที่เด็กไม่ทำอะไรเลย จ้องแต่หน้าจอ แต่สื่อในจอที่เป็นสื่อการศึกษาที่ถูกออกมาเป็นรูปแบบวีดีโอที่ส่งเสริมการพูดนั้น จะสามารถช่วยพัฒนาภาษาของเด็กได้ในช่วงวัย 2-5 ขวบนั้นเอง

2.ด้านพฤติกรรม

เด็กมักจะลอกเลียนแบบและซึมซับจากสิ่งที่ดู ทำบางครั้งหากเป็นเรื่องไม่ดี เขาก็จะสามารถเลียนแบบในสิ่งที่ผิดได้ ทำให้เกิดพฤติกรรมก้ามร้าว ซน หากดูมากๆ ก็จะทำให้ลูกเป็นเด็กที่มีสมาธิสั้นได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมที่คล้ายออทิสติก พฤติกรรมการแยกตัวและต่อต้าน หรืออีกทางนึงหากเด็กเห็นซุปเปอร์ฮีโร่แล้ว อยากทำแบบนั้นได้ อาจจะทำให้ลูกเกิดอันตรายได้เช่นกัน มีคุณหมอเคยพบเด็กอายุ 3 ขวบมาด้วยเรื่องไม่พูด ไม่สบตา ชอบเล่นคนเดียว เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ชอบเปิดทีวีให้ลูกดูตลอดเวลา เพื่อให้ตัวเองได้ทำอย่างอื่นได้มากขึ้น นั้นคือค่านิยมที่ผิดๆ ซึ่งทำให้เกิดพฤติรรมที่ส่งผลเสียต่อลูกได้

3.ทักษะการใช้สมองระดับสูง

เด็กจะขาดทักษะในการแก้ปัญหาและหาทางออก และมีความคิดสร้างสรรค์ที่น้อยลง เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกเบื่อ หงุดหงิด หรือไม่สบายใจ เขามักจะหาทางออกโดยการดูมือถือหรือแท็บเล็ตเพื่อฆ่าเวลา แม้จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ตาม ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลต่อการเรียน การทำงานของเด็ก และการดำเนินชีวิตในครอบครัวและสังคมในอนาคตต่อไปได้

4.ปัญหาการนอนของเด็ก

สังเกตว่าเมื่อไหร่ที่ลูกดูสื่อที่มีเนื้อหาที่รุนแรง หรือน่ากลัว ในช่วงหัวค่ำก่อนนอน จะทำให้เด็กนอนหลับยากขึ้น เพราะเขาอาจจะเก็บไปฝันร้ายและทำให้เกิดความกลัวได้ เมื่อตื่นเช้ามาจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเนื่องจากการนอนไม่หลับ ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ในแต่ละวันได้อีกด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ amarinbabyandkids

 

 

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



สิ่งสำคัญคือตัวเรา
ชีวิตครอบครัว
เพราะแม่จะเป็นใครก็ได้
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save