fbpx

ปล่อยให้ลูกติดมือถือ ทำให้เสี่ยงต่อโรคอะไรบ้าง

Writer : Jicko
: 25 สิงหาคม 2563

อุปกรณ์อย่างมือถือได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของใครหลายๆ คน เช่นเดียวกับการเลี้ยงลูกในยุคนี้ เป็นเรื่องปกติมากๆ ที่เราจะเห็นเด็กๆ เล่นมือถือในขณะทำกิจกรรมต่างๆ ไปด้วย เช่น กินข้าวก็ต้องเล่นมือถือ นอนก็ยังต้องดูมือถืออีก

พ่อแม่บางคนอาจจะคิดว่า การให้ลูกได้เล่น ได้จับ จะทำให้เขาพูดตาม และช่วยให้เขาเก่งขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วหากใช้อย่างถูกต้องก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเป็นเด็กที่เล็กอยู่ล่ะ คุณพ่อคุณแม่คิดว่าจะมีผลเสียอะไรกับลูกได้บ้าง

การที่เด็กๆ ติดมือถือหรือใช้เวลาอยู่หน้าจอทั้งวันนั้น มันส่งผลร้ายกว่าที่คุณพ่อคุณแม่คิดไว้มากเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร่างกายหรือจิตใจ  ทาง Parents One จึงแบ่งความเสี่ยงของโรคที่เด็กต้องเจอเป็นดังนี้

โรคสมาธิสั้น

ในเด็กเล็กโดยเฉพาะช่วงก่อนเรียน เป็นช่วงที่เขามีภาวะสมาธิสั้นติตตัวกันอยู่แล้ว เช่น การอยู่ไม่นิ่ง หรือไม่สามารถอดทนกับอะไรนานๆ ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้สมาธิของเด็กนั้นดีขึ้นหรือแย่ลงนั้น ก็อยู่ที่สิ่งรอบตัวและปัจจัยหลายอย่าง

อย่างการเล่นมือถือ ทั้งแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน โทรทัศน์ ในช่วงก่อน 2 ขวบ ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเด็กๆ จะจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวบนจอภาพตลอดเวลา ทำให้เกิดสมาธิสั้นได้นั่นเอง ผลกระทบที่ตามมานั้นก็คือ เวลาเราจะสอนหรือเสริมพัฒนาการต่างๆ ให้เขา เด็กๆ ก็จะให้ความสนใจน้อยลง และความจำลดลงได้อีกด้วยค่ะ

สังเกตอาการคือ

  • วอกแวกง่าย
  • เหม่อลอย
  • เบื่อง่าย
  • เคลื่อนไหวตลอดเวลา
  • เล่นกับเพื่อนแรงๆ
  • ใจร้อน วู่วาม
  • พูดโพล่ง พูดแทรก
  • รอคอยไม่เป็น

วิธีการแก้ไข คือ

  • ปรับพฤติกรรม

ซึ่งข้อนี้พ่อแม่เองก็ให้ความร่วมมือกันกับลูก ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยการใช้การสื่อสารที่สั้น กระชับ ตรงไปตรงมา ทำตารางเวลาให้ลูกที่ชัดเจน ปรับบรรยากาศการทำการบ้านของลูกให้สงบ หากิจกรรมให้ทำที่ปลดปล่อยพลังได้เยอะๆ จำกัดเวลาในการใช้มือถือต่างๆ ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง ที่สำคัญเลยก็อย่าลืมชื่นชมลูก และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกด้วยนะคะ

  • การรักษาด้วยยา

ซึ่งก็มียาหลากหลายชนิด ซึ่งทุกชนิดก็ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ที่พิจารณาในการสั่งใช้ยาในแต่ละครั้ง และติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เด็กๆ แต่ละคนก็มีอาการและการตอบสนองต่อยาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและอาการของเด็กด้วยนั่นเอง แต่หากเด็กมีอาการสมาธิสั้นแบบไม่มาก ไม่ได้รบกวนการเรียนหรือชีวิตประจำวันมาก ก็อาจจะเป็นการให้เขาได้ลองปรับพฤติกรรมเบื้องต้นเสียมากกว่าค่ะ

 

สายตาสั้นเทียม

เนื่องจากขณะที่เด็กๆ เล่นมือถือนั้น เขาต้องจ้องมองแบบใกล้ๆ ทำให้เกิดทั้งการเพ่ง รูม่านตาหดเล็กลง อีกทั้งแสงในมือถือที่เป็นแสงสีฟ้าที่มีความยาวคลื่นที่สูงกว่าแสงแดดทั่วไป พอเด็กๆ ได้รับแสงดังกล่าวก็อาจจะส่งผลในระยะยาวได้ ซึ่งมันจะทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อมเร็วกว่าที่ควรนั่นเองค่ะ

ซึ่งจะบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าการให้ลูกเล่นมือถือตั้งแต่เด็กๆ จะทำให้เขามีลักษณะการใช้สายตาในการเพ่งมองใกล้มากกว่าการใช้คอมพิวเตอร์อีกนะคะ ทำให้เด็กๆ เกิดภาวะที่เรียกว่า “ตาเพ่งค้าง” ซึ่งจะทำให้เขามีอาการปวดหัว ตาพร่าได้ หรือที่เรียกว่า “สายตาสั้นเทียม” นั่นเอง และสายตาสั้นเทียมของเด็กบางคนนั้น ก็เกิดขึ้นไม่กี่นาทีก็หายค่ะ พ่อแม่บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าลูกสายตาสั้น และพาไปตัดแว่น สุดท้ายเด็กๆ ก็อาจจะปวดสายตาและส่งผลเสียต่อตาของเขาในที่สุดค่ะ

สังเกตอาการ คือ

  • มองกระดานไม่ชัด ต้องหยีตา
  • เดินไปมองใกล้ๆ มากขึ้นเพื่อดูให้ชัด
  • ก้มอ่านหนังสือแบบใกล้มาก
  • รับของพลาดบ่อยๆ
  • ค่าสายตาเปลี่ยนไปมา
  • ปวดหัว ปวดตา อาเจียน

วิธีการแก้ไข คือ

  • แสงต้องพอต่อการใช้งาน

ทั้งการอ่านหนังสือ ทำการบ้าน รวมไปถึงการใช้สื่อหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ห้ามใช้แสงในที่มืด เพราะจะต้องใช้สายตามากในการเพ่งนั่นเอง นอกจากนี้เรื่องแสงหน้าจอก็สำคัญนะคะ ไม่ควรใช้แสงที่จ้าเกินไป

  • ใช้สูตร 20 : 20 :20

คุณพ่อคุณแม่อาจจะมีความสงสัยว่า 20 เนี่ยคืออะไร เพื่อลดการเพ่งสายตานั้นหมายความว่า ให้ใช้งานเพ่ง 20 นาที จากนั้นมองไกล 20 ฟุต นาน 20 วินาที ซึ่งมันจะช่วยให้กล้ามเนื้อในดวงตาผ่อนคลายได้นั่นเองค่ะ

  • หากิจกรรมให้ลูกทำ

หากอยากให้ลูกได้ใช้มือถือ คุณพ่อคุณแม่ควรกำหนดเวลาในการเล่นอย่างเหมาะสมนะคะ เพื่อให้เขาใช้สายที่ไม่มากเกินไป หากิจกรรมที่ทำนอกบ้านบ้าง หรือทำเป็นครอบครัวก็ได้ค่ะ หลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ทโฟนในเด็กเล็กยิ่งดีค่ะ

  • ดื่มน้ำบ่อยๆ

พ่อแม่ควรสังเกตลูก หากลูกเริ่มเคืองตา ตาแห้ง การมองเห็นพล่าเบลอ ควรให้เขาหยุดเล่นหรือใช้มือถือ และการดื่มน้ำจะช่วยให้ดวงตามีความชุ่มชื้นได้ และดีต่อสุขภาพเด็กๆ อีกด้วยค่ะ

  • ตรวจตาบ่อยๆ

ควรพาเด็กๆ ไปตรวจสายตากับจักษุเเพทย์ เพราะการตรวจสุขภาพในโรงเรียนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เเละอาจมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งการพาลูกมาตรวจตากับจักษุเเพทย์จะได้ตรวจสอบระบบประสาทตา เเละสายตาโดยรวมอย่างเเม่นยำ โดยครั้งเเรกควรเป็นเมื่ออายุ 3-5 ขวบ ถึงเเม้จะไม่มีอาการผิดปกติทางสายตา เเละมาบ่อยๆ ทุก 1-2 ปี

 

เด็กเจ้าอารมณ์

เมื่อไหร่ที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่า ทำไมลูกของเราหงุดหงิดทุกครั้ง เมื่อเราขัดขวาง หรือห้ามไม่ให้ลูกเล่นมือถือ เขาจะมีการแสดงอาการก้าวร้าว อารมณ์เสียง่าย และหงุดหงิดทุกครั้งเมื่อไม่ได้เล่น นั้นแสดงว่าลูกของเรานั้นเป็นเด็กติดมือถือแล้วล่ะค่ะ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าในโลกความเป็นจริงกับในมือถือนั้นมันแตกต่างกัน ทุกอย่างบนโลกออนไลน์มันรวดเร็วไปหมด แม้แต่มือถือเอง แค่จิ้มๆ ปัดๆ ก็ทำให้เด็กรู้และเข้าถึงอะไรง่ายมากๆ เมื่อไหร่ที่มาใช้ชีวิตจริงแล้วไม่ได้รับการตอบสนองที่รวดเร็วดั่งใจ ก็จะทำให้เด็กๆ หงุดหงิดนั่นเอง

นอกจากอารมณ์ที่หงุดหงิดแล้ว ยังทำให้เด็กแยกตัวออกจากสังคมด้วย เนื่องจากเมื่อมีมือถือแล้วก็เหมือนมีทางเลือกที่ง่ายและชื่นชอบมากกว่า เด็กๆ จึงไม่พยายามไม่ปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นๆ ซึ่งทำให้การเข้าสังคมของเด็กนั้นยากขึ้นนั่นเอง บางรายอาจจะมีโลกส่วนตัวสูงหรือคบหาเฉพาะเพื่อนในอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

สังเกตอาการคือ

  • ไม่พอใจได้ง่าย
  • หงุดหงิด ใจร้อน ขี้โมโห
  • ขาดความอดทน
  • ขว้างปาข้าวของ
  • ร้องไห้นานเป็นชั่วโมง
  • ทำร้ายร่างกายคนอื่น
  • ต่อต้าน
  • โลกส่วนตัวสูง

วิธีการแก้ไข คือ

  • งดให้ลูกดูสื่อที่มีความรุนแรงในมือถือ

เพราะเด็กๆ มักจะมีการเลียนแบบจากสื่อที่ดู และเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีและไม่ดี หรือสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำ หากพ่อแม่ปล่อยไปอาจจะทำให้เขากลายเป็นเด็กก้าวร้าว วีนเหวี่ยง เหมือนในละครก็ได้นะคะ ดังนั้นหากจะดูก็ต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วยจะดีที่สุดค่ะ

  • ไม่ใจอ่อนง่ายๆ

พ่อแม่บางคนเข้าใจนะคะว่าก็อยากให้ลูกรับแต่สิ่งดีๆ ทำให้พอมีอะไรที่ลูกอยากได้ก็ตามใจ และยอมให้เขาไปหมดซะทุกอย่าง แต่รู้ไหมคะว่าหากทำบ่อยๆ เขาก็อาจจะเป็นคนเอาแต่ใจมากขึ้นได้ เพราะเขารู้แล้วว่ายังไงพ่อแม่ก็จะทำตามใจเขาในที่สุด เช่นเดียวกับมือถือค่ะ

  • ฝึกให้ลูกรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง

ยิ่งควบคุมอารมณ์ตั้งแต่ยังเด็กยิ่งดีเลยค่ะ เพราะจะทำให้ความโมโห หงุดหงิด อาละวาดลดลงได้ อย่างเช่น หากลูกเกิดอารมณ์โมโหขึ้นมา ให้เขาสูดหายใจลึกๆ 10 ครั้งในใจ หรือสอนให้เขาเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละคน และสอนการให้อภัยต่อกันและกัน ก็ถือเป็นการควบคุมอารมณ์ได้เช่นกันนะคะ

พัฒนาการช้า

คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า เด็กๆ หากยิ่งใช้เวลาหน้าจอมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เขามีพัฒนาการด้านต่างๆ แย่ลงได้เมื่อเทียบกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน โดยเฉพาะในเด็กวัย 2-3 ขวบ ที่สมองอยู่ในช่วงพัฒนามากที่สุด

โดยทางสถาบันกุมารเวชศาสตร์ของอเมริกา ได้สรุปผลการวิจัยว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 เดือนไม่ควรที่จะดูโทรศัพท์ และเด็กที่มีอายุระหว่าง 18 – 24 เดือนนั้น หากต้องการดูโทรศัพท์ควรมีผู้ปกครองให้คำแนะนำระหว่างการดูด้วย ในส่วนของเด็กที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไปนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรกำหนดเวลาในการเล่นหรือดูอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมงอีกด้วย

ซึ่งการพัฒนาการช้านั้นก็ได้แก่

  • พัฒนาการด้านการสื่อสารช้าและพูดไม่ชัด
  • ความจำจะถดถอย ไอคิวต่ำไม่ได้มาตรฐาน
  • ความสามารถในการสื่อสารลดลง
  • ร่างกายไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย
  • ขาดทักษะในการสื่อสารและเข้าสังคม

วิธีแก้ไข คือ

  • เด็กอายุแรกเกิด – 2 ปี ควรหลีกเลี่ยงการอยู่หน้าจอทุกชนิด เพราะนอกจากจะไม่มีผลต่อพัฒนาการทางสติปัญญาของลูกแล้ว แม้แต่การเปิดทิ้งไว้เฉยๆ เด็กไม่ได้ดู แต่หากพ่อดูบอล แม่ดูละคร ก็ทำให้พ่อแม่ขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกไปอย่างน่าเสียดาย
  • เด็กอายุ 2-5 ปี ใช้หน้าจอได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยพ่อแม่ควรใช้สื่อให้เป็น เลือกโปรแกรมที่ดี และควรดูร่วมกับลูก พูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาที่ดู ตั้งคำถาม และมีกติกาที่เหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้ลูกรับสื่อผ่านจอตามลำพัง
  • ปิดหน้าจอแล้วใช้เวลาคุณภาพ ทำกิจกรรมร่วมกัน พูดคุยกับลูก เล่นกับลูก อ่านหนังสือร่วมกัน กิจกรรมเหล่านี้เป็นวิธีกระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยได้ดีที่สุด

โรคอ้วน

อาการติดมือถือในเด็ก นอกจากจะส่งผลดังข้างต้นที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังส่งผลต่อสุขภาพของเด็กอีกด้วยนะคะ โดยเฉพาะโรคอ้วนในเด็ก เพราะการเล่นมือถือเป็นการที่เด็กๆ ไม่ได้ลุกเดิน มีเพียงแค่การนั่งอยู่กับที่เฉยๆ จึงทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคเรื้อรังอื่นๆ ได้นั่นเองค่ะ

เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้เขาเปลี่ยนท่าทางในการนั่งบ่อยๆ เพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ อาจจะขยับร่างกาย เดินบ้าง ลุกบ้างถ้ารู้สึกว่าร่างกายเมื่อยล้า หรือหาสถานที่ทำงานหรือเล่นที่เหมาะสม ไม่ควรก้มหน้าเล่น หรือเงยหน้านอนเล่น เพราะจะทำให้เขาเพลินไม่รู้เวลา ยิ่งมีอาหารจากคุณพ่อคุณแม่มาวางให้ตลอดเวลา รับรองได้เลยว่าจะกลายเป็นเด็กอ้วนโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะคะ

วิธีแก้ไข คือ

  • ควบคุมการเล่นให้เป็นเวลา ไม่นานเกินจนไม่ได้ขยับร่างกาย
  • หากิจกรรมทำอื่นๆ นอกจากการเล่นมือถือ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง
  • กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
  • ไม่พยายามลดโดยการอดอาหาร
  • ไม่ใช้อาหารเป็นของล่อ หรือรางวัล
  • ลดอาหารหวาน ลูกอม ไอศกรีม

 

สนับสนุนโดย : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

 

 

 

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
Update
ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์
เคยกลับบ้านมาแล้วกรี๊ดลั่นบ้านเพราะเจ้าตัวแสบไปวิ่งเล่นเลอะเทอะกันไหมคะ ? หรือแต่งตัวลูกอย่างดีไปทานข้าวนอกบ้าน แต่คุณลูกก็ทำซอสหกใส่ ไอติมหล่นไปเป็นก้อน เละทั้งตัว วันนี้ ParentsOne มีเสื้อเด็กที่เจ๋งมากๆ จาก GQ : the good day lab™ มาลองรีวิวให้ได้ชมกันค่ะ 🛒 ช้อปเลยที่ -> https://gqsize.link/bZT7Sx แกะกล่อง GQ : the good day lab™ เสื้อเด็ก ฟีเจอร์เพียบ คุณภาพ GQ ขึ้นชื่อว่า GQ ก็มั่นใจได้เรื่องคุณภาพค่ะ ผ้านุ่ม เบาบาง เหมาะกับอากาศเมืองไทย ใส่วิ่งสบายๆ ที่แปลกตาคือเป็นเสื้อที่ไม่มีป้ายแท็กค่ะ ทั้งด้านหลังคอเสื้อ หรือข้างใน ไม่ต้องห่วงว่าจะเคืองหรือคันเลย กระดุมแข็งแรงเอามากๆ ใช้แรงผู้ใหญ่ดึงแรงๆ ก็ไม่มีปัญหาเลย ไฮไลท์สำคัญที่คุณแม่แทบกรี๊ด คือเป็นไม่เปื้อนค่าาาา เทน้ำ เทนมใส่เสื้อ ไม่เปียกเลย สะบัดสองที หายปกติ ซึ่งถ้าใครเคยเห็นโฆษณา GQ ที่เสื้อเชิ้ตขาวไปทำงานคุณพ่อ โดนกาแฟหกใส่ แต่ผ้าไม่เปื้อนเลย เทคโนโลยีผ้าสะท้อนน้ำ ตอนนี้มาอยู่ในเสื้อเด็กแล้ววววว ทีมงานทดสอบเทน้ำสีผสมอาหาร นม หรือแม้แต่ซอสมะเขือเทศลงบนเสื้อ ก็ไม่เปื้อนค่ะ ไม่น่าเชื่อมากๆ ข้อดีที่สุดของผ้าแบบนี้ คือทำให้ชีวิตคุณแม่สบายขึ้นมาก พาลูกไปเที่ยว วิ่งเล่นสนามหญ้า พาไปทานก๋วยเตี๋ยว หรือให้ทานอะไร ก็ไม่ต้องกลัวเสื้อสวยๆ เลอะ แถมประหยัดเวลาซักผ้าด้วย ไม่ต้องมาคอยแช่ผ้าให้คราบมันออกแบบสมัยก่อน สำหรับเสื้อเด็ก the good day lab™…
8 ธันวาคม 2566

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save