fbpx

5 วิธีรับมือ เมื่อลูกติดมือถือตั้งแต่เล็ก

Writer : nunzmoko
: 27 มีนาคม 2562

ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่เท่านั้น ยังรวมถึงเด็กเล็กๆ อีกด้วย ในฐานะพ่อแม่ต้องเข้าใจผลลัพธ์ของการใช้มือถือ การดูหน้าจอเป็นเวลานานๆ ของเด็กๆ และรู้ว่าเราจะ “จัดการ” อย่างไรเมื่อลูกใช้เวลากับหน้าจอเกินขอบเขตด้วย แล้วจะมีวิธีรับมืออย่างไรไปดูกันค่ะ

1. ดูว่าลูกเล่นอะไรบนมือถือบ้าง

เดี๋ยวนี้สื่อและเกมออนไลน์มีหลากหลายมาก คุณพ่อคุณแม่ต้องตามลูกให้ทันและรู้ว่าสิ่งที่ลูกดู หรือเล่นมีอะไรบ้าง วิดีโอหรือสื่อบางอย่างอาจไม่เหมาะสมกับวัยของพวกเขา มีถ้อยคำและภาพที่รุนแรง น่ากลัว จะต้องคอยชี้แนะให้กับลูก เพราะเด็กยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรควรอะไรไม่ควร หรือดีไม่ดีนั่นเอง

2. ค่อยๆ ร่นระยะเวลาเล่นให้น้อยลง

พ่อแม่ไม่สามารถห้ามให้ลูกเลิกเล่นในทันทีได้ ต้องค่อยๆ ลดจำนวนการเล่นลง สัปดาห์ละนิด วันละหน่อย พอให้เขาปรับตัวได้ หลังจากนั้นก็หากิจกรรมให้เขาทำเพื่อทดแทนการเล่นโทรศัพท์มือถือ

3. กำหนดระยะเวลาที่แน่นอน 

กำหนดเวลาที่เหมาะสมให้ลูก ในกรณีของเด็กเล็กไม่ควรเกินวันละครึ่งชั่วโมง คือให้ลูกดูได้วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที โดยทุกครั้งจะต้องมีการตกลงกันก่อนว่าถ้าแม่บอกให้เลิกดู ก็คือต้องเลิก ไม่งั้นครั้งหน้าจะอดเล่น อาจใช้วิธีบอกว่าดูกี่เพลง จบเรื่องนี้และคอยเตือนเมื่อใกล้หมดเวลา เค้าจะได้รู้ตัวว่าใกล้ถึงเวลาต้องเลิกแล้วนะ ถ้าเป็นเด็กโตหน่อย เข้าใจเรื่องเวลาแล้วก็สามารถกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนได้ว่าจากกี่โมงถึงกี่โมง อาจต้องมีการเตือนบ้างว่าเหลืออีก 5 นาที เหลืออีก 10 นาทีต้องเลิกนะคะ

4. ใช้เวลาอยู่กับลูกและหากิจกรรมอื่นให้ลูกทำ  

ดีที่สุดคือชวนลูกทำอย่างอื่นที่สนุก สร้างสรรค์ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านบ้าง ออกไปเล่นเลอะเทอะแบบที่เด็กวัยเค้าควรจะเป็น โยนลูกบอล ต่อบล็อก ต่อ puzzle เล่นทราย วิ่งเล่น อ่านนิทาน ร้องเพลง เต้นด้วยกัน คุณพ่อคุณแม่อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอนในระยะยาว เชื่อว่าเหนื่อยตอนแรกในการปลูกฝังสิ่งที่ดีๆ ให้กับเค้าดีกว่าไปเหนื่อยตอนหลัง ตอนที่ลูกเริ่มโต เป็นวัยรุ่น มีความคิดเป็นของตัวเองค่อนข้างเยอะ และไม่อยากจะฟังพ่อแม่อีกแล้ว ถึงตอนนั้นความปวดหัวก็จะมากขึ้นทวีคูณค่ะ

5. พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี

การที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง จะเลี้ยงลูกให้ดีได้ในยุคดิจิทัล เราควรมีวินัยในตัวเองก่อน หากเราใช้สื่อเทคโนโลยีมากเกินไปกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่ลูก ควรหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ต่อหน้าลูก (โดยเฉพาะลูกเล็ก) อาจจะใช้โทรศัพท์ตอนที่ลูกไปโรงเรียนหรือนอนหลับ ให้เวลาที่อยู่กับเค้าเป็นเวลาที่มีค่าและสร้างสรรค์จริงๆ เพื่อให้มีเวลาดูแลเอาใจใส่ลูกน้อยได้อย่างเต็มที่และมีคุณภาพค่ะ

การที่เด็กติดจอจะส่งผลต่อพัฒนาการด้านภาษา และมีโอกาสเสี่ยงเป็นออทิสติกเทียม สมาธิสั้น เพราะเด็กจะถูกปล่อยให้นั่งเล่นคนเดียวเป็นเวลานานทำให้ขาดทักษะการสื่อสารกับผู้อื่นจึงพูดช้า มีทักษะการเข้าสังคมต่ำกว่าเด็กที่ออกไปทำกิจกรรม ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ละเลยลูกๆ ในเรื่องนี้ค่ะ

ที่มา – trueplookpanya , insthinklearning

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



6 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก
กิจกรรมของครอบครัว
5 เคล็ดลับทำให้ลูกชอบกินผัก
เด็กอายุ 2-5 ขวบ
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save