fbpx

5 วิธีสอนลูกให้รู้จักเกรงใจผู้อื่น

Writer : Taloei
: 27 พฤษภาคม 2565

ความเกรงใจหรือใส่ใจคนอื่นเป็นเรื่องที่ดี แต่บางการกระทำของลูกเรานั้นก็ชอบให้คนอื่นเดินหมุนรอบตัวเองเกินไป ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะนิสัยแต่เพราะเขากำลังอยู่ในช่วงที่กำลังเติบโต อาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่สอนให้รู้จักเกรงใจผู้อื่นตั้งแต่ตอนนี้ ก็สามารถทำให้เขานั้นอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ง่ายขึ้น เพราะความเกรงใจผู้อื่นเป็นมารยาทพื้นฐานที่เด็กๆ ควรมีติดตัวไว้นั่นเองค่ะ

วันนี้ Parents One มาพาคุณพ่อคุณแม่ไปรู้จักกับวิธีสอนให้ลูกรู้จักเกรงใจคนอื่น จะมีแบบไหนบ้างมาดูกันเลย!

เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก

คนใกล้ตัวที่ไหนไม่เท่าคุณพ่อคุณแม่ที่ใกล้ชิด ลูกสามารถที่จะเข้าใจและดูตัวอย่างง่ายๆ จากบุคคลที่มีอิทธิพลกับเขา คุณพ่อคุณแม่เองควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกน้อย และปฏิบัติเช่นเดียวกันกับลูก เพราะถ้าลูกรู้ว่าตนมีสิทธิ์ที่จะได้รับจากผู้อื่น เขาก็สามารถให้สิทธิ์นั้นกับผู้อื่นได้ด้วย รวมไปถึงการแสดงออกต่อผู้อื่นให้ลูกเห็น คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมข้อนี้ไปด้วยนะคะ

 

พาไปเจอกับสถานการณ์จริง

การพูดสอนและเป็นตัวอย่างของคุณพ่อคุณแม่นั้นดีมากแล้ว แต่ถ้าจะให้สามารถทำได้จริง ต้องให้ได้เจอสถานการณ์จริงๆ ลองให้ได้ไปอยู่กับผู้คนอื่นๆ ได้เจอเพื่อนๆ เพราะในชีวิตประจำวันย่อมเจอหลายสถานการณ์ ทำให้เขาได้เรียนรู้และเข้าใจในความเกรงใจในรูปแบบอื่นๆ มากขึ้น รวมไปถึงความผิดพลาด เราไม่สามารถทำให้ใครต่อใครพอใจได้ตลอด เพราะฉะนั้น ความผิดพลาดจึงสามารถเป็นบทเรียนให้ลูกน้อยของเราเติบโตมากขึ้น

 

นิทานสอนใจ

ถ้าลูกไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำ ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นคืออะไร สามารถใช้ความสนุกของภาพและเรื่องราวที่น่าสนใจของนิทานมาสอนให้เข้าใจได้ เพราะเด็กๆ ย่อมชอบเรื่องเล่าของนิทานอยู่แล้ว ยิ่งนิทานที่สามารถเล่าถึงเหตุผล ปัญหา และวิธีการแก้ปัญหานั้นได้ ก็จะยิ่งให้เขาเห็นภาพมากขึ้น ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ลองเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในชีวิตจริงเขาอาจจะมีความรู้สึกบางอย่างให้เขาได้คิดได้และเริ่มที่จะเกรงใจผู้อื่น

 

เรียนรู้จากภาษากาย

คำพูดไม่ใช่สื่ออย่างที่เดียวที่จะส่งสารออกไปได้ ท่าทางของร่างกายก็เป็นสื่ออย่างนึงที่สามารถส่งสารแสดงออกไปได้ เด็กอาจจะฟังแค่คำพูดที่ถูกพูดใส่แต่ไม่ได้เข้าใจว่าภาษากายของเขานั้นหมายถึงอะไร เพราะได้แต่ตีความจากคำพูดเอา หรือการที่เขาไม่ได้พูดอะไรแต่แสดงออกทางภาษากายอย่างเดียว เด็กก็อาจไม่เข้าใจ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อย่างเราควรสอนให้เขาเข้าใจ

 

พูดคุยถึงความรู้สึก

การที่เขาเคยเป็นคนที่โดนเอาใจใส่ที่สุดในบ้าน แล้วต้องไปเจอสถานการณ์ที่ใครๆ ก็สามารถมีสิทธิ์เป็นของตัวเองได้ เขาอาจไม่ได้เข้าใจขนาดนั้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่พูดคุยถามไถ่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ในบางครั้งที่ผิดพลาด เราควรพูดคุยกันเพื่อที่เขาจะได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองว่าการที่รู้สึกไม่พอใจ แบบนั้นคือความรู้สึกอะไรกันแน่ แล้วควรที่จะจัดการความรู้สึกของตนเองแบบไหน คำแนะนำที่ดีที่สุดก็คงเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่รู้ว่าลูกของเราเป็นแบบไหน คำแนะนำแบบไหนที่เหมาะกับลูกของเรา

ทั้งนี้การเกรงใจผู้อื่นจะต้องอยู่ในกรอบที่เคารพในสิทธิ์ของตัวเอง ไม่เบียดเบียนตัวเองจนรู้สึกไม่สบายใจจนเกินไป คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจและพูดคุยกับเขาเยอะๆ นะคะ ค่อยๆ เรียนรู้ลูกน้อยและสอนไปด้วยกันค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ mom.com stepping stone school 

Writer Profile : Taloei

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



7 สิ่งที่เด็กวัย 2 ขวบทำเก่ง
ช่วงวัยของเด็ก
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save