fbpx

 6 สิ่งที่ไม่เคยมีใครบอกเมื่อคุณต้องผ่าคลอด (ก่อนคลอด&ตอนคลอด)

Writer : Mookky TCN
: 19 กรกฏาคม 2561
ตั้งแต่วันที่คุณรู้ว่ากำลังมีอีกชีวิตอยู่ในท้องของคุณ คุณก็ตื่นเต้นดีใจ เฝ้ารอ และประคบประหงมเจ้าตัวน้อยอย่างดีที่สุด เป็นช่วงเวลาที่ดูน่าจะมีความสุขมากๆ เพราะคุณแม่จะถูกดูแลเอาใจใส่ทุกคนรอบข้างจนเหมือนเจ้าหญิง เว้นแต่หากคุณแม่คนไหนมีอาการแพ้ท้องก็อาจจะรู้สึกไม่ชอบการตั้งท้องอยู่บ้าง แต่นอกนั้นมันจะเป็นเรื่องราวดีๆ ในชีวิตเลยก็ว่าได้ จนมาถึงกำหนดวันที่จะได้เจอหน้ากับเจ้าตัวเล็กแล้ว ความตื่นเต้น ความกลัว เริ่มเข้าครอบงำ เพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดมาไม่เคยนอนโรงพยาบาล  แต่ครั้งนี้ต้องเจอกับการผ่าตัดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ในบทความนี้เราจะบอกว่า เราเจออะไรบ้างเมื่อเราต้อง “ผ่าท้องคลอด” ค่ะ

1. ต้องจัดการตัวเองให้เรียบร้อย(ทุกจุด)

ถึงคุณแม่อาจเคยได้ยินดั้งมาบ้างถึงการโกนขนบริเวณที่ลับ แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ คุณก็จะมีความเขินๆ อายๆ ประหม่า และเกร็ง!!  รวมถึงการสวนก้นด้วย  คุณแม่เกิดมาก็เพิ่งเคยทั้งสองอย่างนี้แหละ แต่รู้อย่างเดียวว่า เห้ออออ…โล่งสบายก้นแล้ว จากนั้นก็ขอเคลียร์ห้องน้ำ ห้ามใครเข้าเด็ดขาด!!! เพื่อจะได้ปฏิบัติภารกิจสำคัญต่อ

2. ห้องผ่าตัดหนาวมาก(และคุณไม่ได้ใส่เสื้อผ้า)

ให้ลองคิดว่าห้องผ่าตัดมันคือห้องผ่าตัดใหญ่ๆ ที่อากาศโคตรหนาว มีเตียงเล็กๆ ของคุณที่ถูกเข็นเข้ามาอยู่ภายใต้ไฟดวงใหญ่ๆ ซึ่งตอนนี้ปิดอยู่ แต่กำลังจะถูกใช้งานในไม่ช้า  โดยคุณจะถูกเข็นเข้ามานอนรอ พยาบาลที่จะถอดเสื้อผ้า แล้วให้คุณห่มผ้าไว้  แต่คุณรู้มั้ยมันหนาวมาก ตอนนี้สามียังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ทำให้คุณแม่ต้องนอนโดดเดี่ยว มีคุณพยาบาลเดินมาเดินไป ช่วงเวลาเหมือนไม่นาน แต่ความรู้สึกเหมือนโคตรนานเลยล่ะ

3. ทุกคนคะดิฉันนอนอยู่นี่

อันนี้เป็นความรู้สึกเลยว่าในขณะที่เรานอนตื่นเต้น ไม่มีความเจ็บ และโคตรหนาว ซึ่งคุณพยาบาลก็จะเตรียมของ จัดของ หรือเม้าท์กันเรื่องละครบ้าง ลูกบ้าง ชีวิตประจำวันต่างๆ นานา  และพระเอกของดิฉันซึ่งเป็นคุณหมอและคุณหมอผู้ช่วย ก็จะตามมาติดๆ พอมาถึงก็ล้างมือ ใส่ชุดผ่าตัด ช่วงอึดใจเดียว คุณหมอก็จะมาประจำที่ สองท่าน และคุณหมอวิสัญญีก็จะอยู่ข้างๆคุณแม่ตรงบริเวณศรีษะอีกหนึ่งท่าน  ซึ่งคุณหมอก็จะเริ่มคุยกัน ทักทายกัน แบบว่า เออพี่เมื่อวานเข้าประชุมมั้ย ผมว่านโยบายของโรงพยาบาล บลา บลา บลา ราวกับว่า เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น 555 แต่ก็ดีที่เรื่องราวที่เราได้ยินได้ฟังมันกลับทำให้เราผ่อนคลาย  หายกังวล ได้ไม่มากก็น้อย เพราะมันเพลินจนลืมไปว่า หมอจะเอามีดกรีดท้องเราในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้วนะ

4. การบล็อคหลังพีคที่สุด

ย้อนกลับไปตอนคลอด คุณแม่นึกภาพตามนะคะว่าเวลาที่เราจะคลอดด้วยวิธีผ่าคลอด โดยการใช้การบล็อคหลังคือการฉีดยาเข้าไปในไขสันหลัง ให้ช่วงท้องลงไปไม่มีความรู้สึกในขณะผ่า  คุณหมอวิสัญญีจะเป็นผู้ดำเนินการให้ คุณแม่จะถูกงอตัวจนเหมือนกุ้งจนกระดูกสันหลังนูนขึ้นมาเห็นชัดที่สุด คุณหมอและคุณพยาบาลจะช่วยกันทำให้คุณงอตัวให้มากที่สุด ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงอึดอัดที่สุด  และพองอจนได้ระดับที่ต้องการแล้วคุณหมอก็จะทำการฉีดยา ซึ่งคุณแม่คิดดูคุณตัวงอเป็นกุ้งในขณะที่ท้องคุณโตมาก และคุณไม่สามารถมองเห็นหรือรู้เลยว่าตอนนี้เข็มกำลังจะจิ้มหลังคุณหรือยัง แม่เข้าใจคำว่า “เสียวสันหลังวาบ” ก็วันนั้น ในตอนที่เข็มแทงลงไป มันไม่ใช่แค่เจ็บแต่มันปนหวาดเสียว เลยให้ความรู้สึกที่ ว้าววว.. ทีเดียว

5. ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก

และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่คุณแม่รอคอย ในปกติถ้าหากคุณแม่มีฤกษ์มาเช่น 9 โมง คุณหมอก็จะกรีดประมาณ 8.50 ประมาณนี้  เพื่อจะได้มีเวลาเล็กน้อยก่อนถึงตัวเด็กและคว้าเด็กออกมาตามฤกษ์ ซึ่งตั้งแต่กรีด จนถึงได้ยินเสียงลูก แม่รู้เพียงว่ามันเร็วมากจริงๆ สามีที่หวังว่าจะช่วยคอยบอกว่าหมอเค้าทำอะไรถึงขั้นไหน ก็ได้แต่ซบหน้าอยู่ข้างๆเมีย ไม่กล้าจะมองแต่อย่างใด เพราะนางคงกลัวเป็นลมเลยพึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ ^ ^”   สิริรวมเวลาที่คุณหมอใช้ในการผ่าและนำลูกออกมานั้น น่าจะไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น  พอรู้ตัวอีกทีก็ได้เห็นหน้าลูกที่หมอเอาไปเช็ดเลือดเช็ดคราบต่างๆมาถ่ายรูปด้วยเพียงสั้นๆ  แต่แม่ก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยจริงๆ รู้แต่ว่าท่อนล่างไม่รู้สึกอะไรเลย

6. หลังผ่าคลอดจะเบลอๆ

เมื่อเสร็จกระบวนการการผ่าตัด คุณหมอเย็บแผลเราเรียบร้อย จากนั้นคุณแม่ก็จะถูกเข็นมายังห้องพักฟื้น และในห้องนี้ก็จะมีคุณแม่ที่มารอคลอดรายต่อไปด้วยนะ เราถูกเข็นมาให้นอนพักบนเตียงราบ ห้ามลุก ห้ามปรับเตียงสูง หัวต้องนอนราบแบบนี้ 24 ชั่วโมง  ในห้องพักฟื้นเราแทบจะไม่ได้หลับเลย เพราะในใจคิดถึงลูกน้อยที่ได้พบกับแค่แว่บเดียว แม่ยังไม่ได้กอด ยังไม่ได้หอม ลูกจะเป็นไงบ้าง ร้องดังมั้ย อิจฉาพ่อมัน ได้ไปดูลูกใกล้ชิด เราต้องนอนอีกหลายชั่วโมงเลย กว่าจะได้ไปดูลูก  คิดไปคิดมาแบบนี้ พร้อมกับฟังเสียงคุยของเจ้าหน้าที่ พยาบาล คุณหมอ จนหลับไปเพราะฤทธิ์ยาในที่สุด
เป็นยังไงคะช่วงแรกของการผ่าคลอดที่แม่ต้องเผชิญ สนุก ตื่นเต้น และหวาดเสียวไหมคะ งานหนักต่อจากนี้รอคุณแม่อยู่ เพราะการคลอดลูกเป็นแค่ประตูด่านแรกที่เปิดออกไปของคุณแม่ ยังมีด่านหินๆ ยังรออยู่เยอะเลยค่ะ แล้วผู้เขียนจะมาเล่าให้ฟังในส่วนของประสบการณ์ช่วงหลังการผ่าคลอดอีกทีนะคะ ขอรับรองสนุกตื่นเต้นยิ่งกว่าเรื่องนี้อีกค่ะ  ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ผ่าคลอดทุกคนให้แผลหายวันหายคืน และไม่มีแผลเป็นนูนๆให้กังวลใจนะคะ
Writer Profile : Mookky TCN

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



กำไร…ในชีวิตของคนเป็นแม่
เตรียมตัวเป็นแม่
มีลูก 1 คน ต้องวางแผนการเงินอย่างไร
เตรียมตัวเป็นแม่
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save