fbpx

7 เทคนิค พูดยังไงให้ลูกฟัง

: 27 มิถุนายน 2560

ก่อนมีลูก ตุ๊กเคยคิดว่าการเลี้ยงเด็กคนนึงคงไม่น่าเป็นเรื่องยากอะไร แต่พอมีลูกเองถึงรู้ว่าแค่การพูดยังไงให้ลูกยอมฟังเรา โดยเฉพาะเด็กวัย 2-5 ขวบ กลับกลายเป็นเรื่องที่ยากพอดู 7 เทคนิคพูดยังไงให้ลูกฟัง ที่อยากมาแชร์กันในวันนี้ เป็นวิธีที่เคยใช้ที่บ้านแล้วไม่ต้องแลกมาด้วยน้ำตาและไม่มีดราม่าเลยค่ะ

1. พูดให้สั้น เข้าใจง่าย และกระชับที่สุด

เด็กเล็กยังไม่สามารถเข้าใจหรือลำดับเรื่องราวต่างๆ ได้ดีเท่าเด็กโต ดังนั้นถ้าจะพูดหรืออธิบายอะไรสักอย่างให้เขาฟัง ให้อธิบายสั้นๆ ไม่ยืดเยื้อ และเข้าใจได้ง่ายที่สุด

2. เข้าใจและมองในมุมของลูกก่อน

การที่จะเข้าใจมุมของลูกได้ง่ายที่สุดคือ ให้ตัวเราลองมองย้อนกลับไปในช่วงที่เราอยู่ในวัยเดียวกับเขา ว่าตอนนั้นอะไรคือเรื่องใหญ่สำหรับเรา เราคิดและรู้สึกอะไรอยู่ในวัยนั้น เมื่อเราเข้าใจและเปิดใจ สิ่งที่เราพูด ลูกจะฟังมากขึ้นเพราะเขารู้สึกว่าแม่เข้าใจเขา

3. ไม่ต่อว่า สอน หรือตัดสินไปก่อน

เมื่อไหร่ที่เราพูดในเชิงต่อว่า สอน หรือตัดสินเขาไปก่อนแล้ว เช่น “ทำไมดื้อยังงี้ ทำไมไม่ฟังที่แม่พูดเลย” โอกาสที่ลูกจะฟังก็จะมีอยู่น้อย ถ้าเราต้องการที่จะสอนเขา ให้ฟังเรื่องราวในมุมของเขาก่อน เมื่อลูกรู้สึกว่าแม่ไม่ได้พยายามจะแก้ไขหรือตัดสินเขา การรับฟังในสิ่งที่เราต้องการที่จะให้เขาทำก็จะง่ายขึ้น

4. ไม่ตะโกนแต่เข้าไปพูดใกล้ๆ

แทนที่จะตะโกนให้ลูกทำอะไรสักอย่าง ให้เดินเข้าไปใกล้ๆ ลูก นั่งในระดับสายตาของเขาและบอกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ใช้อารมณ์ ถึงสิ่งที่เราต้องการให้ลูกทำ วิธีนี้จะดีและได้ผลกว่าการที่เราตะโกนให้เขาทำอะไรสักอย่างนึง

5. พูดหรือเสนอสถานการณ์อื่นที่ทั้งเราและเขารับได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลูกกำลังกระโดดบนเตียงและเราไม่อยากให้ลูกกระโดดเพราะกลัวลูกจะพลัดตกลงมา การที่เราพูดว่า “อย่ากระโดดนะ” ไม่ได้ทำให้ลูกหยุดกระโดด แต่การเสนอแนวทางหรือวิธีอื่นให้ลูก เช่น เรามากระโดดกันตรงนี้ดีกว่า หรือเรามาเล่นอันนี้ดีกว่า จะช่วยให้ลูกหยุดฟังและทำตามมากขึ้น เพราะการกระทำของเขายังคงได้รับการตอบสนองอยู่

6. ชมนำทาง

เคยสังเกตไหมว่าบางทีที่เราเผลอพูดออกไปว่า “ทำไมลูกงอแงยังงี้” ซึ่งตอนนั้นสถานการณ์จริงๆ อาจไม่ได้เกิดจากที่เขาเป็นเด็กที่งอแง แต่เกิดจากที่เขาหิวหรือง่วงก็ได้ แต่คำพูดของเราไปกำหนดลูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเขาเป็นเด็กที่ “งอแง” โอกาสที่ลูกจะงอแงไปตามคำพูดของเรา ก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกติ เช่นเดียวกันกับคำชม เมื่อไหร่ที่เราชมลูก ว่าเขาเป็นเด็กที่มีเหตุผล เป็นเด็กที่อดทน มีระเบียบวินัย โอกาสที่เขาจะเป็นไปตามสิ่งดีๆ ที่เราพูดเกี่ยวกับตัวเขา ก็จะมีมากขึ้น ฉะนั้นการชมก่อนจะพูดในสิ่งที่เราอยากจะให้ลูกทำ จะช่วยให้เขายอมทำในสิ่งที่เราต้องการได้มากขึ้น

7. ไม่ใช้อารมณ์

เมื่อไหร่ก็ตามที่เรายังมีอารมณ์หงุดหงิด ตวาดหรือเสียงดังใส่ลูก ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตามในการพูดกับเขา ผลลัพธ์ที่ได้คือลูกมักจะไม่ฟังเรา ก่อนที่จะพูดยังไงให้ลูกยอมฟัง ตัวเราควรควบคุมอารมณ์ให้ได้เสียก่อน ให้คิดไว้เสมอค่ะว่า การสอนวินัยหรือการพูดให้ลูกยอมทำในสิ่งที่เราต้องการ เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความเข้าใจ ใช้เวลา และใช้ใจที่เย็นพูดคุยกันค่ะ

Writer Profile : Tuk LittleMonster

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save