fbpx

8 เทคนิคสอนลูกรักให้เป็นเด็กกล้าแสดงออก

Writer : parentsone
: 3 มกราคม 2561

เด็กแต่ละคนก็มีนิสัยแตกต่างกัน เด็กบางคนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเวลาที่เจอสถานการณ์ใหม่ๆ หรือได้เจอใครที่ไม่คุ้นหน้าแต่สักพักก็ปรับตัวได้ ในขณะที่เด็กบางคนชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่กล้าพูดคุยกับใคร ประหม่า พูดตะกุกตะกัก และสิ่งที่เห็นได้ชัดคือมักจะยืนเกาะขาของคุณพ่อ คุณแม่ หากปล่อยไว้นานๆ อาจมีปัญหาด้านการเรียนรู้ การอยู่ร่วมกันกับเพื่อนๆ และอาจกลายเป็นโรคกลัวสังคมในอนาคต ดังนั้น เราจึงควรส่งเสริมให้ลูกรักเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าคิด และกล้าแสดงออกกันด้วย 8 เทคนิคดังต่อไปนี้ค่ะ  

1. เปิดโอกาสให้ลูกได้มีอิสระในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

อย่าเพิ่งจำกัดการเรียนรู้ด้วยคำว่า “ไม่ใช่” ไม่ได้” และ “ไม่เหมือน” เลยนะคะ ลองปล่อยให้ลูกคิด ถาม ทำ และให้เขาลองแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองดูก่อน หากเขาทำได้แล้วเขาจะมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

2. ลดการลงโทษลงบ้าง

หากเราลงโทษ ดุ ด่าลูกมากเกินไป จะทำให้ลูกกลัวและขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าตอบคำถามเพราะกลัวว่าตอบผิดไปแล้วจะโดนดุ

3. พาไปทำกิจกรรมใหม่ๆ

เพื่อให้ลูกรู้สึกคุ้นเคยกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก หรือพิพิธภัณฑ์เด็ก

4. ไม่ให้ใช้ไอแพด/แท็บเล็ตมากเกินจำเป็น

ส่วนใหญ่เด็กที่ติดไอแพดจะชอบอยู่แต่หน้าจอนานๆ ถ้าเราบอกให้ทำอะไร เขาจะโมโห ฉุนเฉียว หรือทำสิ่งนั้นเร็วๆ เพื่อจะได้รีบไปดูการ์ตูนหรือเล่นเกมต่อ ถ้าลูกเราเป็นเด็กขี้อายแล้วด้วย ก็จะยิ่งทำให้ลูกเก็บตัวและไม่สนใจผู้อื่นมากขึ้น ดังนั้นลองหากิจกรรมอื่น เช่น เล่านิทาน เล่นของเล่น หรือออกกำลังกายมาเป็นกิจกรรมที่สลับให้ลูกทำบ้างจะดีกว่าค่ะ

5. สังเกตความถนัดของลูก

เด็กบางคนชอบตัวเลข เด็กบางคนเด่นภาษา เด็กบางคนชอบทำการทดลอง และเด็กบางคนก็ชอบกิจกรรมเคลื่อนไหว เราลองสังเกตความถนัดของลูกว่าเขาชอบอะไร และช่วยพัฒนาให้ถูกจุด ลูกก็จะทำสิ่งๆ นั้นได้ดี

6. สอนให้ลูกกล้ายอมรับผิด

เราต้องบอกลูกว่าคนที่ทำผิดแล้วกล้ายอมรับผิดเป็นสิ่งที่ดี และคราวหน้าอย่าทำอีกก็เพียงพอแล้ว หากเราดุว่าลูกด้วยถ้อยคำแรงๆ เขาจะไม่กล้าพูดและต่อไปอาจกลายเป็นเด็กชอบโกหก

7. ให้คนเก่งช่วยพิชิตงานในบ้าน

เริ่มจากการดูแลตัวเองง่ายๆ ก่อน เช่น การกินข้าว อาบน้ำ สระผม หัดแต่งกายด้วยตนเอง เมื่อเขาทำได้ดีแล้ว ค่อยให้ลูกช่วยงานในบ้าน เช่น เก็บของเล่นและหนังสือให้เข้าที่เรียบร้อย เพื่อฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบและมีน้ำใจต่อคนในบ้านเพิ่มมากขึ้น

8. ถ้าลูกทำดีอย่าลืมให้คำชม

ข้อนี้สำคัญอย่างมากเลยค่ะ เพราะตัวเราเองยังอยากได้คำชมเลยใช่ไหมล่ะคะ หัวใจดวงน้อยของเด็กๆ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเขาทำสิ่งใดได้ดีแล้ว คุณพ่อ คุณแม่ให้คำชม เขาจะยิ่งมีความภาคภูมิใจ มั่นใจ และกล้าที่จะทำสิ่งอื่นเพิ่มมากขึ้น

ข้อดีของการเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก

  1. มีความมั่นใจในตัวเอง
  2. กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ดี
  3. กล้าขอความช่วยเหลือเมื่อถูกเพื่อนแกล้ง
  4. อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ง่าย
  5. รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายได้ดี

การฝึกให้ลูกกล้าแสดงออกนั้นอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ถ้าหากคุณพ่อ คุณแม่ส่งเสริมเขาอย่างสม่ำเสมอ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลูกน้อยก็จะมีความมั่นใจและเป็นเด็กที่กล้าคิด กล้าแสดงออกแล้วล่ะค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Writer Profile : parentsone

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



เริ่มให้ลูกฝึกปั่นจักรยานตอนไหนดี?
กิจกรรมของครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save