fbpx

ทำอย่างไร? เมื่อลูกชอบแอบจิ๊กคนอื่นของกลับบ้าน

Writer : Mneeose
: 19 กรกฏาคม 2562

“ไม่มีใครอยากให้ลูกเป็นเด็กขี้ขโมย แต่ถ้าวันหนึ่งเราจับได้ว่าเขาแอบจิ๊กของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลยใช่ไหมล่ะคะ ”

คุณพ่อคุณแม่จึงต้องมีเวลาใส่ใจ คอยสังเกต และดูแลพฤติกรรมต่างๆ ของลูกอยู่ตลอด โดยอาจจะใช้การถามไถ่ให้เขาเล่าเรื่องราวต่างๆ ในโรงเรียนให้เราฟังบ่อยๆ แล้ว งั้นเราไปดูวิธีคิดอื่นๆ และวิธีการสอนลูกไม่ให้แอบจิ๊กของเพื่อนกลับบ้านกันเลยดีกว่าค่ะ

1. สอนลูกให้รู้จัก ”สิทธิการเป็นเจ้าของ”

เรื่องที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนเลย ก็คือ ลูกของเรามีโอกาสจะขโมยของของคนอื่นได้ค่ะ อาจเป็นเพราะอายุของเขาที่ยังเล็ก และไม่รู้ว่าการขโมย หรือการแอบจิ๊กของเพื่อนมาเป็นของตัวเองมันคือสิ่งที่ไม่ดี และไม่ควรทำ

คุณพ่อคุณแม่จึงต้องสอนลูกให้รู้จัก “สิทธิการเป็นเจ้าของ” ว่าของทุกสิ่งล้วนมีเจ้าของของมันอยู่ตามความชอบธรรม เราไม่สิทธิ์ไปเอามาเป็นของตัวเอง เพราะสิ่งของนั้นไม่ใช่ของเรา หากลูกอยากได้สิ่งของที่มีเจ้าของนั้นจริงๆ ก็ต้องนำเงิน หรือสิ่งของที่อีกฝ่ายต้องการมาเเลกเปลี่ยนกันนั่นเองค่ะ

 

2. สอนให้ลูกรู้ว่าการขโมยของไม่ใช่สิ่งที่ดี และไม่ควรทำ

คุณพ่อคุณแม่ต้องค่อยๆ พูด และอธิบายให้ลูกเข้าใจแบบง่ายๆ ว่าการขโมยของคนอื่นเป็นสิ่งไม่ดี และไม่ควรทำ เพราะจะทำให้เจ้าของทุกข์ใจ และไม่มีความสุขมากๆ หากเขามาเจอสิ่งของที่หายจากเขาไป แล้วมาอยู่ที่เราจะทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดีในสายตาเขาได้เลยค่ะ

 

3. อย่าเพิกเฉย แต่ให้สอบถามด้วยความอ่อนโยน

หากคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าลูกของตัวเองแอบจิ๊กของคนอื่นกลับบ้าน จงอย่าเพิกเฉยเด็ดขาด แต่ให้ลองค่อยๆ ถามลูกด้วยความอ่อนโยนว่าได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร? ซื้อมาตอนไหน? หากลูกยังไม่ยอมรับว่าไปแอบจิ๊กของคนอื่นมา ให้ค่อยๆ บอกกับลูกไปตรงๆ เลยค่ะว่าคุณพ่อคุณแม่รู้นะ ว่าหนูไปแอบจิ๊กของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง อย่าไปเอาของเขามาเลยลูก เขาคงทุกข์ใจแย่ ถ้าอยากได้อะไรให้มาบอกพ่อกับแม่เถอะ ไม่ต้องไปเอาของคนอื่นมาค่ะ

วิธีการนี้นอกจากจะทำให้ลูกกล้ายอมรับสารภาพว่าตัวเองแอบไปจิ๊กของคนอื่นมาแล้ว ยังช่วยสอนให้ลูกกล้าที่จะยอมรับว่าตัวเองนั้นผิดจริง เมื่อทำความผิดอีกด้วยค่ะ

 

4. อย่าดุลูก หรือลงโทษลูกด้วยการตี

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องห้ามทำ เมื่อรู้ว่าลูกไปแอบจิ๊กของคนอื่นมา นั่นคือ การดุลูก หรือลงโทษลูกด้วยการตี ทั้งตอนที่อยู่ด้วยกันแบบ 2 ต่อ 2 หรือจะอยู่ต่อหน้าคนอื่นค่ะ เพราะจะยิ่งตอกย้ำให้เป็นเรื่องฝังใจที่ไม่ดีของลูกเมื่อเขาโตขึ้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องค่อยๆ คุยกับลูกแบบไม่ใช้ความรุนแรง ให้ลูกยอมรับว่าเขาทำผิดจริงนั่นเองค่ะ

 

5. ค่อยๆ อธิบายให้ลูกเอาของไปคืนเพื่อน

สิ่งถัดไปที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำ นั่นก็คือ ค่อยๆ อธิบายให้ลูกเอาสิ่งของที่แอบจิ๊กมาไปคืนเพื่อน หรือเจ้าของที่แท้จริง สอนให้เขารู้ว่าหากกล้าที่จะแอบจิ๊กมาได้แล้ว ก็ต้องกล้าหาญที่จะเอาไปคืนด้วย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามค่ะ

 

6. แก้ปัญหาที่สาเหตุ หากลูกอยากได้อะไรให้ลองเก็บเงินซื้อเอง

คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ว่า การที่ลูกแอบจิ๊กของคนอื่นมาเป็นของตัวเองแสดงว่าลูกอยากได้สิ่งนั้นมากๆ เราจึงต้องปลูกฝัง และสอนให้ลูกรู้จักการแก้ปัญหาที่สาเหตุ นั่นก็คือ หากลูกอยากได้สิ่งของอะไรให้ลองเก็บเงินซื้อด้วยตัวเองก่อนที่จะขอให้คุณพ่อคุณแม่ซื้อให้ค่ะ

Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save