fbpx

How-To เลือกซื้อประกันชีวิตให้ลูกแบบคุ้มค่า

Writer : Mookky TCN
: 9 พฤศจิกายน 2560


อยากทำประกันชีวิตให้ลูกน้อย แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกเเบบไหนดี เพราะมีกรมธรรม์ให้เลือกเยอะไปหมด เเต่ละบริษัทก็ต่างมีเงื่อนไข ผลประโยขน์ที่เเตกต่างกัน มาดูกันว่าจะเลือกซื้อประกันเเบบไหนดีถึงจะคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากที่สุดกันนะ

การเลือกซื้อประกันใให้คุ้มค่าที่สุด ควรเลือกตามเรื่องเหล่านี้ในแบบเบื้องต้น

  • เลือกบริษัท  เช่น  จากความมั่นคง ความน่าเชื่อถือ ชื่อเสียง
  • เลือกแบบประกัน ตามความต้องการ
  • เลือกวงเงินชำระเบี้ยประกันภัย (ตามความสามารถที่เก็บออมได้)
  • เลือกการชำระเบี้ยประกัน รายปี รายสามเดือน หกเดือน  รายเดือน
  • ช่องทางที่สะดวกในการชำระเบี้ย
  • โรงพยาบาลที่สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้หรือโรงพยาบาลเครือข่าย แต่ละบริษัทจะไม่เหมือนกัน
  • ความสะดวกในการรับบริการ
  • การบริการหลังการขาย

ขอยกตัวอย่างการทำประกันชีวิตสำหรับเด็ก

ประกันแบบออมเงิน (เพื่อทุนการศึกษา)

ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์เพื่อเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้ลูกในอนาคต เเต่ละบริษัทจะมีให้เลือกหลายแบบ แล้วแต่ความต้องการของลูกเรา เช่น

บริษัท A มีแผนหลักประกันเพื่อทุนการศึกษา ที่เริ่มได้เมื่อเด็กมีอายุตั้งเเต่ 15 วัน ส่งเงินประกันปีละครึ่งเป็นเวลา 10 ปี ระหว่างปีที่ 1-19 ได้รับเงินปีละ 10% ของเงินเอาประกัน สิ้นปีที่ 20 ได้รับเงินเอาประกันคืน 100% เเละหากเสียชีวิตระหว่างปีที่ 1-19 ยังจะได้รับเงินก้อนเท่ากับทุนประกัน(จำนวนเงินที่เลือกรับสูงสุด) อีกด้วย (สามารถจ่ายเงินประกันได้แบบรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน, รายเดือน)

ประกันแบบสุขภาพ

ส่วนใหญ่จะเน้นเพื่อสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ก็จะเน้น เรื่อง การเคลม การเบิกจ่าย ความสะดวกรวดเร็วในการบริการ เมื่อใช้บริการกับทางโรงพยาบาลเเล้วไม่มีปัญหาจุกจิก ตอนลูกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งการเลือกประกันสุขภาพส่วนใหญ่จะดูจาก

1. ความครอบคลุมของโรคตอนเจ็บป่วย

ถ้าลูกเจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาลมีประกันจ่ายแทน เเละคุณพ่อคุณเเม่ควรดูรายละเอียดของรายการเบิกจ่ายแต่ละโรค เพราะถึงเเม้จะมีความครอบคลุมในหลายโรคก็จริง เเต่จำนวนเงินก็จะเเตกต่างกัน เช่น โรค A เบิกได้สูงสุด 100,000 บาท, โรค B เบิกได้สูงสุด 200,000 บาท เป็นต้น

2. ค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล

การทำประกันชีวิตที่ดีไม่ควรเลือกที่เบี้ยประกันถูกเพียงอย่างเดียว เพราะเบี้ยประกันที่ต่างกันหมายถึงค่าห้อง, ค่ารักษาพยาบาล, ค่าอาหาร, ค่าบริการประจำวันเมื่อเข้ารักษาในโรงพยาบาล เเละค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต่างกันด้วย เนื่องจากแต่ละสถานพยาบาลจะมีอัตราค่ารักษาพยาบาลเหล่านี้แตกต่างกัน

3.การคุ้มครอง

ค่ารักษาพยาบาลจะขึ้นอยู่กับวงเงินคุ้มครองในแบบที่คุณเลือกให้กับลูกน้อย เเต่ต้องดูข้อยกเว้นที่ไม่สามารถ เบิกได้ เช่น การเจ็บป่วยที่มีมาก่อนการทำสัญญา การตรวจหรือผ่าตัดเมื่อเสริมสาย

4.เงื่อนไขเรื่องตรวจสุขภาพ

แบบประกันสุขภาพสำหรับเด็กจะต้องตรวจสุขภาพหรือไม่ จะอยู่ที่เงื่อนไขเเละข้อกำหนดของแต่ละบริษัท ส่วนใหญ่พิจารณาจาก แบบประกันและความคุ้มครอง ยิ่งซื้อด้วยทุนประกันที่สูงและเบี้ยประกันสูงๆ ยิ่งมีโอกาสต้องตรวจสุขภาพสูงแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือแบบที่ต้องการ

5. การบริการหลังการขาย

อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญมากคือบริการหลังการขาย  ซึ่งมาจากตัวเเทนประกันชีวิตที่เราเลือกทำสัญญา เเละบริษัทที่เลือกทำประกันด้วย บางบริษัทอาจมีสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าของตัวเอง เช่น Gift Vouchers สำหรับลูกค้า, ของขวัญวันเกิด, บริการตรวจสุขภาพ นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับตัวเเทนที่เราซื้อประกันชีวิตด้วยว่ามีการสร้างสิทธิพิเศษอะไรให้กับลูกค้าของตัวเองบ้าง เช่น บางรายมีกิจกรรมเหมาโรงภาพยนต์ไว้สำหรับลูกค้าชมภาพยนต์เดือนละ 1 ครั้ง, ละ 1 ครั้ง, จัดทริปท่องเที่ยวต่างประเทศสำหรับลูกค้าพิเศษที่ทำประกันเป็นวงเงินสูงๆ

กรมธรรม์ประกันชีวิตสำหรับเด็กค่อนข้างจะมีเบี้ยประกันที่สูง เพราะถ้าพิจารณาถึงอายุ ความแข็งแรงของสุขภาพ จะเห็นว่าเด็กเกิดโรคได้ง่าย มีความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่างๆได้สูง เพราะยังไม่สามารถปกป้องตนเองจากอันตรายได้ เเละถ้าเด็กมีอายุน้อยเท่าไหร่เบี้ยประกันก็จะยิ่งสูง เมื่อเทียบกับเด็กที่มีอายุมากกว่าในทุนประกันที่เท่ากัน เนื่องจากบริษัทประกันต้องรับความเสี่ยงสูงในการทำประกันชีวิตสำหรับเด็ก ส่วนเงื่อนไขว่าจะรับทำประกันตั้งเเต่อายุเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเเต่ละบริษัท บางบริษัทอาจเริ่มรับทำตั้งเเต่เด็กอายยุ 1 วันเลย

นอกจากนี้การทำประกันให้เด็กยังมีข้อดีอีกอย่าง คือคุณพ่อคุณแม่ที่ซื้อกรมธรรม์ให้กับลูกสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ด้วย เช่น หากเมื่อผู้ปกครองจากไปก่อนจะหมดสัญญา บริษัทประกันจะจ่ายเบี้ยประกันภัยต่อให้กับกรมธรรม์ของลูก (จ่ายเเทนพ่อเเม่ที่จากไป) เเละยังคงผลประโยชน์เหมือนเดิม นอกจากนี้ก็มีคุณพ่อคุณเเม่จำนวนมากเช่นกันที่ทำประกันให้ลูกตั้งเเต่วันเเรกที่เกิด ส่งเบี้ยประกันไปเรื่อยๆ พร้อมกับช่วงเวลาที่ลูกโตจนครบเวลาชำระเบี้ยประกัน (บางรายซื้อกรมธรรม์ระยะยาว 15 ปี, 20 ปี) เปรียบเหมือนการซื้อของขวัญวันเกิดล่วงลูกล่วงหน้า

ถึงเเม้สังคมไทยบางส่วนจะมองว่าการทำประกันชีวิตเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เเต่ความจริงเเล้วการทำประกันชีวิตก็ถือว่าเป็นสิ่งดี ไม่ว่าจะเลือกทำให้ลูกหรือทำให้ตัวเองก็ตาม เพราะเป็นการประกันความเสี่ยงที่เราไม่มีวันรู้ในอนาคต  เเละหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือพ่อเเม่จากไป ก็ยังคงเหลือเงินก้อนให้ลูกไว้ใช้ต่อเป็นเหมือนทิ้งความรัก ความห่วงใยไว้แบบสัมผัสได้ เพียงเเค่ควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจ เเละเลือกแบบประกันที่ดี มีความเหมาะสมกับลูกที่สุดนะคะ 😀

Writer Profile : Mookky TCN

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



รวม 7 รายการทีวีสำหรับเด็ก จากช่องThaiPBS
กิจกรรมของครอบครัว
10 วิธี ฝึกลูกให้เข้มแข็ง
ไลฟ์สไตล์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save