fbpx

ลูกชอบร้องอาละวาดเวลาถูกขัดใจ (Temper Tantrum) พ่อแม่จะทำยังไงดี

Writer : Lalimay
: 9 เมษายน 2563

คุณพ่อคุณแม่เคยเจอไหมคะ พอลูกไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็มักจะร้องไห้ แล้วลงไปนอนดิ้นกับพื้น กระทืบเท้า แสดงอาการโมโหอย่างชัดเจน อาการแบบนี้เรียกว่า อาการร้องอาละวาด (Temper Tantrum) ค่ะ ซึ่งเป็นอาการตามพัฒนาการในการแสดงอารมณ์ของเด็ก แต่ในบางครั้งก็เป็นปัญหาเช่นกัน แต่ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ต้องมีวิธีรับมือที่เหมาะสม เราไปเข้าใจอาการนี้ของลูกให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ

 

อาการร้องอาละวาดเป็นยังไง

ลูกจะเริ่มจากความโกรธ ไม่พอใจ จากนั้นจึงตามมาด้วยการร้องไห้รุนแรง แล้วลงไปนอนดิ้นกับพื้น ฟาดแขนขาไปมา ในบางครั้งอาจมีการทำร้ายตนเองหรือคนอื่น สำหรับเด็กบางคนก็จะร้องหนักมากจนเกิดการร้องกลั้น (breath holding spell) แต่โดยส่วนใหญ่แล้วการร้องอาละวาดใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที แต่ก็จะมีการร้องอาละวาดที่ก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งมีอาการที่พ่อแม่ต้องรู้ คือ

  • ร้อง 3 ครั้ง/วันขึ้นไป นานเกิน 15 นาที
  • มีปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปัญหาการนอน ปัญหาการเรียน ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน
  • ทำลายข้าวของ ทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น
  • หงุดหงิด หรือไม่พอใจตลอดเวลา

ช่วงอายุของเด็ก

อาการร้องอาละวาดนี้ เริ่มพบได้ตั้งแต่เด็กอายุ 12 ถึง 18 เดือน แต่จะพบได้บ่อยในช่วงอายุ 2 ถึง 3 ปี และจะค่อยๆ ลดลงจนหายไปเมื่ออายุ 4 ปี

ทำไมลูกถึงอาละวาด

  • พัฒนาการตามวัย : การร้องอาละวาดมักเกิดในช่วงอายุ 2-3 ปี ถือเป็นพัฒนาการทางด้านการเรียนรู้เรื่องการควบคุมอารมณ์ของเด็ก ลูกยังแสดงอารมณ์ของตัวเองได้ไม่ดีนัก จึงใช้การร้องอาละวาดมาเป้นเครื่องมือ และในเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางพัฒนาการก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก
  • อาการไม่สบาย : เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจก็อาจมาการร้องอาละวาดได้ เนื่องจากการใช้ยารักษาโรคเหล่านี้มักทำให้เด็กรู้สึกง่วง จึงร้องงอแงออกมาบ่อยๆ
  • พื้นอารมณ์เลี้ยงยาก : เด็กแต่ละคนมีพื้นอารมณ์ที่ต่างกัน ดังนั้น เด็กที่มีพื้นอารมณ์แบบเลี้ยงยาก (Difficult temperament) คือ กินยาก นอนยาก ขับถ่ายไม่เป้นเวลา ปรับตัวอยาก ก็ยิ่งทำให้เกิดอาการนี้ได้ง่ายขึ้นอีก
  • ตามใจหรือเข้มงวดมากไป : การเลี้ยงดูมีผลต่ออารมณ์ของเด็กเป็นอย่างมาก หากตามใจมากหรือเข้มงวดมากเกินไป รวมไปถึงมีการลงโทษที่เป็นความรุนแรง พ่อแม่แสดงอารมณ์ลบออกมาบ่อยๆ ก็จะทำให้เด็กซึมซับและหงุดหงิดไม่พอใจได้ง่าย

พ่อแม่ทำยังไงดี

ป้องกันก่อนเกิดอาการ

  • มีกิจวัตรสม่ำเสมอ มีกฎระเบียบที่ทุกคนในบ้านทำเหมือนกัน
  • ใช้เวลาคุณภาพ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ คือต้องใช้เวลาอยู่กับเขาจริงๆ เล่น พูดคุย อย่างน้อยวันละ 30 นาที
  • ให้การเสริมแรงด้านบวก หากลูกจัดการกับอารมณ์ได้เหมาะสม
  • พ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดี พ่อแม่ควรจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ได้ก่อน อย่าใช้อารมณ์นำทาง ไม่ลงโทษด้วยการตี เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าการทำร้ายร่างกายเป็นเรื่องปกติ
  • เตือนล่วงหน้าหากมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าสิ่งที่ทำเป็นกิจวัตรหรือสิ่งที่เคยตกลงร่วมกันมีการเปลี่ยนแปลงก็ควรบอกลูกล่วงหน้า เพื่อให้เขาเตรียมตัว
  • สอนให้ใช้คำพูดเพื่อแสดงความรู้สึก แทนการแสดงออกทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม เพื่อให้เขารู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง

แต่ถ้าเกิดแล้วล่ะ?

  • เบี่ยงเบนความสนใจของลูกหากเกิดอาการ
  • พ่อแม่ควรมีท่าทีสงบ เพิกเฉยต่อการกระทำนั้น เพราะถ้าลูกไม่ได้รับการตอบสนองก็จะไม่ทำอีก แต่ต้องดูเรื่องความปลอดภัย
  • หากลูกทำลายข้าวของ ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง ให้พาเขาออกมาจากตรงนั้น และพ่อแม่ต้อง “กอด” เขาไว้ จนกว่าเขาจะสงบลง 
  • ไม่ลงโทษรุนแรง พ่อแม่ต้องตอบสนองต่อการร้องอาละวาดต้องเหมาะสม และไม่ควรให้ของเมื่อลูกหยุดร้อง เพราะเขาจะจำและรู้ว่าไม้นี้ใช้ได้ผล
  • การไม่ตามใจเมื่อเกิดอาการ หากลูกร้องอาละวาด พ่อแม่ก็ยังคงต้องทำในสิ่งที่ตอนแรกจะทำ เช่น ไม่ได้จะซื้อของเล่นให้ พอลูกอาละวาด ก็อย่าซื้อของเล่นเพื่อตามใจเขาเด็ดขาด
  • เมื่อลูกสงบ ก็เข้าไปพูดคุยตามปกติ ถามเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้เขาลองพูดสะท้อนอารมณ์ เพื่อที่จะเข้าใจอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น พร้อมกับถามความเห็นของเขาว่าควรจะแก้ไขอย่างไรดี 

 

https://meded.psu.ac.th/binla/class05/388_551/problems_in_young_children/index3.html

http://rajanukul.go.th/iqeq/index.php?mode=iqeq&group_id=0&id=170

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save