fbpx

[สัมภาษณ์] นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ คุณหมอผู้มีผลงานเขียนเป็นที่นิยม

Writer : Mookky TCN
: 20 กันยายน 2560

คุณพ่อคุณเเม่หลายคนคงคุ้นชื่อ “นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์” เพราะคุณหมอเป็นทั้งนักจิตวิทยา เเละนักเขียนที่มีผลงานเกี่ยวกับเด็กออกมามากมายหลายเล่ม เเต่ละเล่มก็ล้วนได้รับความนิยม เพราะเนื้อหาดีจนถูกยกให้เป็นตำราการเลี้ยงเด็กประจำบ้านกันเลยทีเดียว เรามาลองคุยกับคุณหมอถึงเเนวคิด มุมมองที่น่าสนใจผ่านประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานกันค่ะ

ภาพจาก: แพรวเพื่อนเด็ก

Q: นิยามของการเลี้ยงลูกแบบ EF จริงๆ เเล้วคืออะไร

คุณหมอประเสริฐ : การเลี้ยงลูกให้มีEF คือการช่วยให้ลูกพัฒนาความสามารถของสมองและจิตใจ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างดีที่สุด โดยที่ EF หมายถึงความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย คำสำคัญคือคำว่า “เป้าหมาย” สมัยใหม่เด็กที่มี EF ดีจะกำหนดเป้าหมายอนาคตเองได้อย่างดีที่สุด พ่อแม่ไม่ใช่ผู้กำหนดเป้าหมาย ระหว่างทางที่เด็กเจริญเติบโต เด็กควรได้รับการฝึกฝนให้ควบคุมตัวเอง บริหารความจำใช้งาน และคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย สิ่งนี้คือ EF

Q: คุณหมอเลี้ยงลูกอย่างไรบ้าง

คุณหมอประเสริฐ : สมัยก่อนยังไม่มีคำศัพท์ EF ภรรยาและผมเลี้ยงลูกให้รู้จักอดทนทำเรื่องยากหรือน่าเบื่อให้เสร็จ รู้จักถอนตัวจากความสนุก และรู้จักลำบากก่อนสบายทีหลัง ภรรยาและผมกลับบ้านเร็ว เข้าบ้านทิ้งงานออกจากตัว ทุกนาทีมีไว้เล่น ภรรยาทำกับข้าว ดูแลลูก ผมเป็นผู้ช่วยและเล่นกับลูก ผมอ่านนิทานก่อนนอนทุกคืนในขณะที่ภรรยาพักอยู่ข้างๆ บ้านเรานอนเร็วและนอนตรงเวลา เด็กๆ ไม่เคยกวนตอนกลางดึก ทุกคนหลับผมจึงลุกมาทำงานเสมอ เราสองคนเห็นตรงกันส่งลูกไปอนุบาลที่เอาแต่เล่น ไม่มีเรียน และเข้า ป .1 โรงเรียนอันดับรองเพื่อให้เล่นมากกว่าเรียน ผมจะเห็นตรงกับภรรยาต่อหน้าลูกเสมอ พูดไปในทางเดียวกันทุกครั้ง การเลี้ยงลูกจึงไม่ยากเย็นมากนั

Q: คิดว่าคุณพ่อคุณเเม่ในสมัยนี้ เลี้ยงลูกต่างจากสมัยก่อนเเค่ไหน

คุณหมอประเสริฐ : ข้อนี้ไม่แน่ใจ แต่เดาว่าพ่อแม่สมัยใหม่กำลังรับศึก 2 เรื่อง คือ เรื่องไอทีกับเรื่องการศึกษา หลายบ้านไม่รู้ว่าห้ามเด็กดูหน้าจอใดๆ ก่อน 2 ขวบเต็ม และไม่ควรส่งลูกไปเรียนหนังสือแบบเร่งเรียนก่อน 7 ขวบ คือสภาพสังคมที่กดดันพ่อแม่สมัยใหม่อยู่

Q: ตั้งเเต่เป็นหมอเด็ก เขียนหนังสือมาเรื่อยๆ มีวิธีการเลี้ยงเด็กแบบไหนบ้างที่ปรับเปลี่ยนไปตามเวลา

คุณหมอประเสริฐ : ผมมิใช่หมอเด็ก และมิใช่จิตแพทย์เด็ก เป็นจิตแพทย์ผู้ใหญ่ที่จำเป็นต้องตรวจจิตเวชเด็กอยู่นานมากกว่าสิบปีเพราะไปอยู่จังหวัดที่ไม่มีจิตแพทย์เด็ก เขียนหนังสือเรื่องพัฒนาการเด็กและการเลี้ยงลูกมาหลายปีคิดว่าหลักๆไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นั่นคือให้เวลาแก่ลูกมากที่สุดคือดีที่สุด ปริมาณเวลาสำคัญกว่าคุณภาพ สมัยใหม่ที่ไอทีรุกรานเด็กๆ ของเราง่ายๆ ปริมาณเวลายิ่งสำคัญกว่าคุณภาพ เวลาที่มากจะทำให้เราไม่รีบ ใจเย็น อารมณ์ดี เห็นเด็กทำอะไรดีๆ น่ารักๆ แล้วอะไรๆก็จะดี เวลาที่น้อยมักทำให้เรารีบ หงุดหงิด และรำคาญเด็กๆได้ทุกเรื่อง อะไรๆ ก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ

Q: เรื่องไหนเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ที่คุณหมออยากให้พ่อเเม่เข้าใจมากที่สุด

คุณหมอประเสริฐ : คุณพ่อคุณแม่มีเวลา 3 ปีที่จะต้องอยู่ใกล้ลูกมากที่สุด และเวลา 10 ปีที่ลูกจะเชื่อฟัง หลังจากนั้นเขาจะไม่ฟังอีกจนกว่าจะพ้นวัยรุ่น

Q:  ถ้าให้เเนะนำที่คุณพ่อคุณเเม่ยุคนี้ควรรู้ได้ 5 ข้อ  คุณหมอจะเลือกอะไรเป็นลำดับ 1-5

คุณหมอประเสริฐ :

1.ให้เวลามากที่สุด
2. ไม่ให้ดูหน้าจอก่อน2ขวบและไม่เร่งเรียนก่อน 7 ขวบ
3. อ่านนิทานก่อนนอนทุกคืน ลงไปเล่นกับลูกมากที่สุด จับฝึกและทำงานบ้าน สามอย่างนี้จะพัฒนาEFครบทุกกระบวนการ
4. สอนให้เด็กดูแลพื้นที่ทั้ง4 ให้ได้ตามลำดับคือร่างกายตัวเอง รอบร่างกายตัวเอง บ้าน และรอบบ้านรวมทั้งพื้นที่สาธารณะ
5. เมื่อไรที่รู้สึกว่ามีปัญหากับลูก ทบทวนข้อ 1-4 ใหม่หมด

Q:  อยากฝากอะไรถึงพ่อเเม่ปัจจุบันบ้าง

คุณหมอประเสริฐ : ย้ำคำเดิม อ่านนิทานก่อนนอนทุกคืน ลงไปเล่นกับลูกมากที่สุด จับฝึกและทำงานบ้าน สามอย่างเท่านั้น ง่ายๆ สบายมาก

จากที่ได้คุยกับคุณหมอก็รู้สึกได้ว่าการเลี้ยงลูกไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากเลย ขอเเค่มีความใส่ใจ ทำอย่างถูกวิธี เเละนำหลักการมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับลูกของเรา เเค่นี้ก็เชื่อได้ว่าลูกๆ จะกลายเป็นเด็กที่น่ารักเเล้วค่ะ 😀

นอกจากงานขียนหนังสือคุณหมอยังมีเพจให้ติดตามกันด้วยที่ : นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Writer Profile : Mookky TCN

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ป้อนข้าวลูกยังไงให้ทานได้เยอะ?
ข้อมูลทางแพทย์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save