fbpx

รู้จัก "โรคใคร่เด็ก" เพื่อระมัดระวังเด็กๆ ที่บ้าน

Writer : Jicko
: 8 มกราคม 2564

โลกนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกที คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราก็อดเป็นห่วงลูกไม่ได้นะคะ ยิ่งปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ เราต่างจะพบเจอข่าวตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเพศกันบ่อยขึ้น ซึ่งสิงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่ปกติหรือเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่มันคือความผิดปกติทางจิต เช่นเดียวกับ “โรคใคร่เด็ก” ที่ทาง Parent s One จะมาส่งต่อความรู้ให้กับคุณพ่อคุณแม่ฟังในวันนี้ ตามไปดูกันเลยค่ะ

“ใคร่เด็ก” กับ “รักเด็ก” ไม่เหมือนกัน

โรคใคร่เด็ก หรือ Pedophilia คืออาการทางจิตชนิดหนึ่ง ที่ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกทางเพศกับเด็ก และมักจะเป็นเด็กที่อายุน้อยกว่า 13 ปี พฤติกรรมของโรคนี้จะไม่ใช่การแสดงความรักแบบเมตตาเด็ก แต่เป็นความปรารถนาจะมีสัมพันธ์ทางเพศกับเด็กที่อายุน้อยกว่าตน หรือเรียกว่าเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั่นเอง

ลักษณะผู้ป่วย

  • ส่วนใหญ่พบในผู้ชาย
  • ร้อยละ 50-80 % เกิดจากครอบครัวหรือคนใกล้ชิด
  • ตีสนิทเด็ก เพื่อหวังผลทางเพศ
  • บุคลิกภาพแบบอันธพาล (Sociopath) ก้าวร้าว
  • เก็บกดจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น ถูกกดขี่ ถูกทุบตี บังคับจิตใจ

 

วิธีรับมือและป้องกันความเสี่ยง

แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ยากอยู่พอตัวที่พ่อแม่อย่างเราจะมาเจาะจงว่า คนที่มาใกล้ชิดกับลูกเราจะมีความผิดปกติหรือเป็นโรคใคร่เด็กหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราเองอาจจะต้องหาวิธีรับมือและป้องกันความเสี่ยงนี้

  • เลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด : เข้าใจดีเลยว่าใครๆ ต่างก็อยากจะแสดงความรักและชื่นชมในตัวเด็ก แต่มันจะดีกว่าถ้าคนที่เราจะให้สัมผัสควรจะเป็นพ่อแม่หรือคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมจริงๆ เท่านั้น อาจจะเป็นจากการกอดหรือหอมแก้มมาเป็นการ “High fives” แทน และต้องไม่ทำให้ลูกรู้สึกผิดเมื่อไม่ให้ใครมาสัมผัส เพราะพวกที่ใคร่เด็กมักจะชอบอ้างว่า “หนูคงไม่อยากให้ลุงเศร้าใช่ไหม” จึงจำเป็นที่จะสนับสนุนลูกในเรื่องนี้เช่นกันค่ะ

  • ไม่ระแวงแต่ระวัง : คำว่ารู้หน้าไม่รู้ใจนี่ถือเป็นอะไรที่ถูกต้องมากเลยนะคะ และพ่อแม่อย่างเราที่ปกติแล้วก็จะระแวดระวังคนที่ไม่รู้จักหรือคนที่ดูบุคลิกภาพไม่น่าไว้วางใจ และมักจะใจดีและผ่อนคลายกับคนที่รูปร่างบุคลิกดี ซึ่งรู้ไหมคะว่าไม่ว่าใครก็สามารถทำเรื่องแย่ๆ ได้ สอนลูกไม่ไปไหนกับคนแปลกหน้า แต่รู้หรือไม่ว่าคนที่มักจะลวนลามเด็กมักไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะฉะนั้นพ่อแม่อย่างเราจึงต้องไม่ประมาท และก็ไม่ต้องหวาดระแวงจนเกินไปจะดีที่สุดค่ะ

  • ดูแลลูกและเอาใจใส่ลูกอย่างใกล้ชิด : ไม่ว่าลูกจะทำอะไรไปไหน พ่อแม่อย่างเราก็ควรที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่กับใครและทำอะไร เพราะคนที่ใคร่เด็กมักจะมองหาเด็กที่เหมือนกับว่าผู้ปกครองไม่สนใจลูกมากนัก และพวกเขามักจะแทรกตัวและร่วมทำกจิรรมกับเด็กๆ เสมอ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องคอยสอดส่อง ติดตาม ดูแลพฤติกรรมของคนพวกนี้ไว้และคอยเอาใจใส่ลูกอย่างใกล้ชิดค่ะ พึงระลึกไว้เสมอว่าหน้าที่สำคัญของเราคือการดูแลลูกยังไงล่ะ

  • ให้ความรู้กับลูกอย่างเหมาะสมกับวัย : สิ่งแรกที่เราต้องสอนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับร่างกายของพวกเขา สอนว่าอะไรคืออะไร และสิ่งไหนที่ควรหวงแหนและไม่ให้ใครเข้ามาก้าวก่ายได้ เพระเด็กบางคนเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เด็กๆ รู้แค่ว่ามันไม่ถูกต้องและเขาก็กลัว และสิ่งที่ตามมาก็คือ เด็กๆ จะได้รับการขู่ด้วยคำพูดที่ทำให้พวกเขาละอายใจเช่น “ไม่มีใครเชื่อหนูหรอก” หรือ “ถ้าหนูบอก แม่หนูตายแน่” เป็นต้น เพราะฉะนั้นควรสอนลูกตั้งแต่เด็ก ถ้ายังเล็กอาจจะสอนเรื่องความเจ็บปวด เพราะเด็กวัยนี้จะเข้าใจค่อนข้างดี สิ่งสำคัญก็คือต้องย้ำเสมอว่า “ร่างกายของลูก คือพื้นที่ส่วนตัว อย่าให้ใครมาสัมผัส ไม่ว่าเวลาใด ที่ไหนก็ตาม หรือเป็นใครที่คุ้นเคยก็ตาม”

  • หากถูกทำร้าย อย่าโทษตัวเด็ก : พ่อแม่เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้วอย่างแรกที่ไม่ควรทำเลยคือการว่าเด็กทั้งๆ ที่พวกเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น มิหน่ำซ้ำยังทำให้ลูกกลัวและเสียใจได้ เพราะฉะนั้นจงควบคุมความรู้สึกขมขื่นที่เกิดจากความโชคร้านนี้เพื่อลูกจะได้ไม่มีปัญหาในอนาคตค่ะ ที่สำคัญไม่ควรที่จะให้เด็กๆ ถูกสอบสวนอย่างหนัก และไม่ควรที่จะได้รับการบอกเล่าเรื่องนี้อย่างโจ้งแจ้งด้วย เพราะจะทำให้เขารู้สึกมีมลทินและมีความผิดได้นั่นเอง

 

ผู้ป่วยที่เป็นโรคใคร่เด็กนี้จริงๆ แล้วหากได้รับการรักษาก็สามารถหายได้นะคะ หากทำตามคำแนะนำของจิตแพทย์ แต่ถึงยังไงก็ตามก็อยากจะฝากเรื่องนี้ให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้ระมัดระวังเด็กๆ ที่บ้านไว้นะคะ อย่างน้อยก็คอยสังเกตพฤติกรรมและไม่ปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพังกับคนแปลกหน้าจะดีที่สุดค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : phongxodiax.comtoday.line.me, Sanook

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



7 วิธีเลิกแพมเพิสฉบับ Little Monster
ช่วงวัยของเด็ก
ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save