fbpx

สอนลูกแบบโฟนิกส์ ช่วยให้การอ่านเขียนดีขึ้นได้ง่ายๆ

Writer : Jicko
: 1 ตุลาคม 2564

เมื่อลูกเข้าสู่วัยที่เริ่มอ่านออกเขียนได้ คุณพ่อคุณแม่หลายคนก็มักจะหาวิธีเพื่อที่จะทำให้เขาเข้าใจและอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้อง และวันนี้เราก็มีการสอนแบบโฟนิกส์ ที่จะช่วยให้เด็กๆ ที่ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ในระดับชั้นประถมศึกษา เพื่อเป็นพื้นฐานง่ายๆ มาฝากกันค่ะ จะมีวิธีสอนเด็กๆ ยังไงบ้าง ยากง่ายแค่ไหน ไปดูกันเลยค่ะ

4 ขั้นตอนสำคัญ ในการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) 

1. การเรียนรู้เสียงตัวอักษร (Analytic Phonics)

เป็นการฝึกให้เด็กๆ รู้จักเสียงของแต่ละตัวอักษร โดยให้เราอ่านออกเสียงตัวอักษรให้เด็กๆ ฟังอย่างช้าๆ และให้เขาออกเสียงซ้ำตาม เช่น เราอ่านออกเสียง ก และยกตัวอย่างคำที่ ก เช่น กิ่งแก้ว ไก่กา และให้เด็กๆ ออกเสียง ก และจำเสียง ก ให้ได้ โดยฝึกให้ครบทุกตัวอักษะ เพื่อให้เขาเชื่อมโยงเสียงและวิเคราะห์เสียงของแต่ละตัวอักษรนั้นๆ

2. ฝึกการสอนประสมเสียง (Synthetic Phonics)

เป็นการฝึกให้เด็กๆ ประสมเสียง โดยเราอ่านออกเสียงโดยการสะกดคำและให้เด็กๆ พูดตาม เช่น กา มีการประสมเสียงพยัญชนะ ก และเสียงสระ า เด็กๆ ออกเสียงตาม ก และออกเสียง า เมื่อประสมเสียง ก กับ า สะกดเป็นเสียง กา เพื่อให้เขาสามารถอ่านออกเสียงได้และเข้าใจเสียงของตัวอักษรแต่ละตัวด้วย

3. ฝึกการเทียบเคียง ( Analogy – Based Phonics)

เป็นการเทียบเคียงจากเสียงสระ โดยให้เราออกเสียงโดยแจกลูกคำ เช่น กา ตา ปา อา มา ลา เป็นการฝึกให้เด็กๆ รู้จักเทียบเคียงเสียง และรู้ว่ามีเสียงสระ า เป็นเสียงเดียวกัน อีกทั้งเรายังสามารถใส่เสียงวรรณยุกต์ได้ด้วย เช่น กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า วิธีการนี้เด็กๆ จะรู้จักวิเคราห์คำและเทียบเคียงการออกเสียง และรู้จักคำใหม่ๆ กับเรื่องการสะกดคำไปพร้อมๆ กันนั่นเองค่ะ

4. หัดอ่านเขียนเข้าใจคำ (Phonics Drill) 

โดยวิธีนี้เราจะฝึกให้เด็กๆ รู้จักการอ่านออกเสียงและการเขียนไปพร้อมๆ กัน เช่น คำว่า ไก่ เด็กๆ สามารถแยกเสียงพยัญชนะต้นได้ว่าเป็นเสียง ก และเขียนอักษร ก ได้ ฝึกซ้ำไปมาให้เข้าใจความหมายของคำที่อ่านและเขียน จนสามารถอ่านออกและเขียนได้ ทำให้หากเจอคำใหม่ๆ เขาก็จะสามารถเชื่อมโยงจากการฝึกฝนได้เองอย่างสบายๆ เลยค่ะ

จากการทดลองในการวิจัย พบว่าเมื่อเด็กๆ ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์แล้ว จะมีพัฒนาการความสามารถในการอ่านและการเขียนสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะการอ่านพยัญชนะและสระ อีกทั้งยังสามารถจดจำเสียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์และสามารถอ่านเขียนได้ทั้งหมดภายในระยะเวลา 1 ปีการศึกษาอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก : researchcafe.org

 

 

 

 

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save