fbpx

7 วิธีดูแลจิตใจลูก เมื่อถึงวันที่พ่อแม่ต้องแยกทางกัน

Writer : blahblahboong
: 8 มีนาคม 2562

แม้ว่าการหย่าร้าง แยกทางกัน จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน แต่ผลกระทบที่ตามมานั้นส่งตรงถึงลูกด้วยอย่างปฎิเสธไม่ได้ ในเรื่องของจิตใจหากเกิดขึ้นแล้วทำให้มีผลโดยตรงถึงพฤติกรรมในอนาคต

เพื่อไม่ให้ปัญหาของผู้ใหญ่สร้างรอยร้าวในใจกับเด็ก เรามาดูกันค่ะ ว่าพ่อแม่จะต้องจัดการกับความรู้สึกของลูกอย่างไร เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

ให้ความมั่นใจว่า “ลูก ไม่ใช่สาเหตุ”

เด็กก็ยังเป็นเด็ก ยังมีความคิดที่ไม่ลึกซึ้ง ทำให้ส่วนมากจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่แยกทางกัน ไม่ว่าจะเป็น เพราะตัวเองเป็นเด็กดื้อ เป็นลูกที่ไม่ดี

คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจกับลูกว่า เด็กไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินแยกทางกันของพ่อแม่ อีกทั้งยังต้องให้ความมั่นใจว่า คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถให้ความรักเค้าได้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

บอกกันตั้งแต่เนิ่นๆ

หากเราบอกลูกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ จะเป็นการป้องกันผลกระทบต่อจิตใจของเด็กที่ดีที่สุด โดยเวลาที่เหมาะสมก็คือ ก่อนแยกที่พ่อแม่จะแยกทางกัน 6 เดือน – 1 ปี และควรบอก อย่างจริงใจ พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง กับลูกตั้งแต่วัยประถมเป็นต้นไป เพราะอยู่ในวัยที่รับรู้เข้าใจความหมายของภาษาแล้ว

ไม่เปลี่ยนความเป็นอยู่ ทำทุกอย่างให้เป็นเหมือนเดิม

การที่พ่อและแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่อไป ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่มากพอแล้วสำหรับเด็กคนหนึ่ง ดังนั้นในระยะแรก หากเราเปลี่ยนสิ่งอื่นอีกก็จะยิ่งทำให้เด็กปรับตัวได้ยากขึ้น อย่างโรงเรียนก็ยังสามารถให้เค้าเรียนที่เดิมได้อยู่ ให้เค้าได้มีสังคมเดิม ทำกิจกรรมที่ชอบเหมือนเดิม เพื่อให้ลูกปรับตัวได้ง่ายขึ้น

ไม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก

ความขัดแย้งของพ่อแม่ไม่ควรเกิดขึ้นต่อหน้าลูก การที่พ่อแม่เสียงดังใส่กัน ลงไม้ลงมือต่อหน้าหน้าลูกทำให้เด็กรู้สึกไม่ปลอดภัย

เข้าใจความรู้สึกที่อ่อนไหวของลูก

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ลูกจะมีคำถามมากมาย อย่าง ทำไมแม่กับพ่อไม่คุยกัน ทำไมพ่ออยู่บ้าน คุณแม่ (หรือคุณพ่อ) ควรตอบคำถามของลูก อย่าปฎิเสธที่ตอบสิ่งเหล่านี้ และอธิบายให้ลูกเข้าใจเท่าที่ทำได้

อีกทั้งต้องหาทางรับมือกับความรู้สึกที่อ่อนไหว และอาการต่อต้านด้านอื่นๆ ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่แค่พ่อกับแม่ที่เจอกับความเปลี่ยนแปลง ตัวลูกเองก็กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงไม่ต่างกัน

ให้โอกาสทั้งสองฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตัวเอง

เชื่อว่าในความเป็นพ่อแม่ย่อมมีความรักลูกไม่น้อยไปกว่า ไม่ว่าลูกจะอยู่กับใคร ควรเปิดโอกาสให้ต่างฝ่ายต่างได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ อย่างในงานวันพ่อ ก็เปิดโอกาสให้พ่อไปร่วมงานของโรงเรียนลูกได้ หากลูกต้องพบเมื่อไหร่ก็สามารถนัดหมายเพื่อพบปะกันได้ตามปกติ

#ทีมลูก ให้ความรักและความใส่ใจไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่ว่าเด็กจะอยู่กับใครก็ตาม และไม่คุณพ่อคุณแม่จะขัดแย้งกันมากแค่ ให้นึกไว้ว่าทั้งสองคนเป็น #ทีมลูก ที่จะคอยซัพพอร์ตเสมอไม่ว่าลูกจะทำอะไร และยังคงมีความให้กันไม่เปลี่ยนแปลง

 

Writer Profile : blahblahboong

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



5 เทคนิค ต่อรองกับลูกให้ได้ผล
ชีวิตครอบครัว
6 วิธี ฝึกลูกให้นั่งCar Seat
กิจกรรมของครอบครัว
รอยยิ้ม ที่ไม่มีวันจางหายไป
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save