fbpx

6 ข้อที่พ่อแม่ควรปฏิบัติเมื่อส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาล

Writer : parentsone
: 5 มีนาคม 2561

หลังจากที่เราเคร่งเครียดเรื่องการเลือกโรงเรียนให้ลูกแล้ว วันแรกที่จะต้องส่งเค้าเข้าโรงเรียนไปพ่อแม่ยิ่งเครียดหนักด้วย กังวลว่าลูกจะร้องไห้ขนาดไหน กินข้าวยังไง จะอึจะฉี่ยังไง คงต้องคิดถึงแม่แน่ๆ แต่ถ้าเราพอจะรู้วิธีที่จะเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์นี้ ก็จะทำให้เหตุการณ์เบาบางลงได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจที่ดีจากคุณแม่และทุกคนทางบ้านนะคะ

1. ฝึกให้ลูกเลิกผ้าอ้อมสำเร็จรูป ขวดนม ก่อนไปโรงเรียน

วัยเตรียมอนุบาล หรือ วัยอนุบาลหนึ่ง จะเริ่มที่อายุประมาณ 2 ขวบกว่าๆ ขึ้นไป ถึงสามขวบกว่าๆ ซึ่งเป็นวัยที่คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกลูกให้บอกได้เวลาอยากจะปัสสาวะ หรืออุจจาระ แล้วค่ะ รวมถึงการเลิกขวดนมในกรณีที่เด็กๆติดขวดนมด้วยนะคะ  เพราะเวลาที่ไปอยู่ในโรงเรียน คุณครูต้องดูแลเด็กๆ จำนวนมาก ซึ่งถ้าลูกเราสามารถบอกความต้องการได้แล้ว ก็จะช่วยทุ่นเวลาในการดูแลเด็กในเรื่องนี้ของคุณครูไปได้มาก และถ้าเด็กคนไหนทำได้แล้วก็จะมีความภูมิใจในตนเอง ในทางกลับกันถ้าลูกยังทำไม่ได้และไปอยู่ร่วมกับเพื่อนๆที่ทำได้แล้ว อาจจะรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้เหมือนเพื่อน ก็อาจมีความรู้สึกอายเพื่อนเป็นได้นะคะ และถ้าเด็กๆ ทำได้แล้ว เด็กๆก็จะมีเวลาไปเรียนรู้ ปรับตัวในเรื่องอื่นๆ อีกมากเลยค่ะ

2. ฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้น

เด็กๆ วัยที่ต้องไปโรงเรียนนั้น สามารถช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นได้แล้วนะคะ แต่คุณแม่อาจต้องฝึกฝนลูกๆ ก่อนถึงเวลาไปโรงเรียน เช่น การตักข้าวทานเอง การใส่เสื้อ กางเกง ถอดเสื้อ กางเกง การใส่รองเท้าถุงเท้า เพราะเวลาไปโรงเรียนเด็กๆทุกคนต้องสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง แต่อาจจะเร็วหรือช้าแตกต่างกันไปตามความสามารถของแต่ละคน แต่ก็ไม่ต้องเครียดมากนะคะ ค่อยๆฝึก ก็เอาเท่าที่ลูกทำได้ แต่ก็ต้องฝึกฝนไปบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณครูทั้งหมด เพราะหากคุณครูต้องมาดูแลเด็กๆทุกคน ในเรื่องการช่วยเหลือตนเองทุกอย่าง การเรียนการสอนอื่นๆ ก็คงจะวุ่นวานไม่น้อยนะคะ มันคงจะดีกว่ามาก หากลูกๆเรามีความพร้อมในเรื่องนี้ไประดับหนึ่ง และให้คุณครูช่วยพัฒนาเพิ่มเติมให้เค้าทำได้ดีมากขึ้นนะคะ

3. ไปส่งลูกด้วยรอยยิ้มแจ่มใส

คุณแม่ต้องสตรองก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแม้ว่าในใจของคุณแม่จะกังวลแค่ไหน เมื่อลูกต้องจากอก ออกนอกสายตาไปสู่รั้วโรงเรียน เก็บความกังวลใจของคุณให้มิดชิด หรือไม่ก็ทำใจให้สบาย เมื่อคุณตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูกแล้ว นั่นย่อมแปลว่า คุณเลือกที่ที่เหมาะสมกับครอบครัวคุณแล้ว  ยิ้มกว้างและแต่งตัวสวยๆ ไปส่งลูกที่โรงเรียนด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใส สร้างความมั่นใจให้ลูกน้อยกันเถอะค่ะ

4. ไม่แอบไปส่องลูก

ข้อนี้คุณครูขอร้องมาเลยล่ะค่ะ ซึ่งแม่ก็เห็นด้วยนะคะ เมื่อส่งลูกมือต่อมือให้คุณครูไปแล้ว หันหลังกลับเลยค่ะ อย่าอาลัยอาวรณ์  หากเราไปแอบซุ่มดูลูกของเราตามรั้ว ช่องประตู หน้าต่าง แล้วบังเอิญลูกเราเห็นเรา ด้วยล่ะก็ ลูกอาจจะรู้สึกได้ว่า การมาโรงเรียนนี่จะต้องไม่ปลอดภัยแน่ๆ เลย ขนาดแม่ยังไม่ไว้ใจคุณครูต้องมาคอยแอบซุ่มดูแบบนี้ เราจะไว้ใจอยู่โรงเรียนกับคุณครูทั้งวันได้อย่างไรจริงมั้ยคะ

5. มารับลูกตรงเวลา

ข้อนี้สำคัญมากนะคะ คุณแม่ต้องมารับลูกให้ตรงเวลา ในช่วงแรกของการมาโรงเรียน คือช่วงการปรับตัว ลูกๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง คุณแม่ต้องสร้างความไว้ใจให้ลูกว่า เมื่อลูกมาโรงเรียนในตอนเช้า คุณแม่รับปากกับลูกว่าเลิกเรียนปุ๊บ คุณแม่จะมารับทันที และคุณแม่ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้ด้วยนะคะ  เลิกเรียนแล้วต้องมารอรับลูกกลับทันที เป็นการแสดงถึงว่า คุณแม่ทำตามคำพูด มาส่งตอนเช้ามารับตอนบ่าย แม่ไม่ได้หายไปไหนยังคงอยู่กับลูกตลอดเวลา เมื่อลูกรับรู้ได้แล้ว เค้าก็จะวางใจในการอยู่ที่โรงเรียนทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนๆและคุณครู เพราะรู้ว่าเดี๋ยวถึงเวลาเลิกเรียนคุณแม่ก็มารอรับแล้ว

6. ให้กำลังใจลูกทุกวันพร้อมชมเชย

เมื่อลูกไปโรงเรียนและอาจมีการร้องไห้งอแงบ้างในระยะแรก เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ลูกเคยอยู่แต่กับแม่ อยู่ที่บ้านสบายๆต้องไปเข้าโรงเรียนต้องไปอยู่ภายใต้กฎระเบียบต่างๆ และไม่มีคนคอยเอาใจและตามใจเหมือนตอนอยู่บ้าน ร้อยทั้งร้อยลูกคงต้องร้องไห้ ไม่อยากไปโรงเรียนแน่ๆ ค่ะ แต่เค้าจะค่อยๆดีขึ้นเมื่อปรับตัวได้ ไม่มีเวลาตายตัวนะคะ เร็วช้าขึ้นกับแต่ละคนเลยค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เค้าจะปรับตัวได้ในที่สุด คุณแม่ต้องคอยให้กำลังใจแก่ลูกทุกๆวัน รวมถึงชมเชยลูกเมื่อลูกปรับตัวกับการไปโรงเรียนได้ดีขึ้นด้วยนะคะ

ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ สำหรับ 6 ข้อปฏิบัติที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อลูกต้องจากบ้านเข้าสู่รั้วโรงเรียน จะเห็นว่าทุกอย่างสร้างได้ที่คุณแม่หรือคนที่ดูแลลูกๆ นะคะ ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่จะทำได้ค่ะ เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกๆบ้าน และหนูน้อยทุกๆคนนะคะ

Writer Profile : parentsone

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



7 สิ่งที่ต้องคำนึง ในการเลือกโรงเรียนให้ลูก
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
รู้จักกับกระเป๋านักเรียน “รันโดะเซะรุ”
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
10 โรงเรียนน่าสนใจ ประจำปี 2017
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
โรงเรียนอนุบาลทางเลือกที่โดนใจคุณแม่
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save