fbpx

7 นิสัย ที่พ่อแม่และคนใกล้ตัว ไม่ควรทำกับลูก

: 15 สิงหาคม 2561

คนเป็นพ่อเป็นแม่นอกจากจะให้ความรัก ความอบอุ่นแก่ลูกแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการสอนให้เขามีนิสัยที่น่ารัก ซึ่งพ่อแม่หลายคนก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีมากๆ แต่บางครั้งก็อาจเผลอเรอทำนิสัยที่ไม่ค่อยน่ารักกับลูกเสียเอง เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่านิสัยที่ไม่น่ารักที่ไม่ควรทำกับลูกจะมีอะไรกันบ้าง เพื่อที่เราจะได้ปรับปรุงตัวและเรียนรู้นิสัยที่น่ารักไปพร้อมๆ กับลูกค่ะ

1. ทำแต่งานจนไม่มีเวลาให้ลูก

บางคนอาจจะบอกว่าถ้าไม่ทำงานแล้วจะเอาที่ไหนกิน แต่ในหลักความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราไม่สามารถมีเวลาให้ลูกได้มากจริงๆ การแบ่งและจัดสรรเวลาให้พอดี มีเวลาให้เขาไม่มากแต่เป็นเวลาคุณภาพจริงๆ ก็สามารถช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูกได้

2. ตัดสินใจแทนลูกทุกอย่าง

ด้วยความที่เราเป็นผู้ใหญ่และอยากมอบสิ่งดีๆ ให้กับลูก เราอาจอดไม่ได้ที่จะตัดสินใจแทนลูกในหลายๆ เรื่อง แต่การที่เราตัดสินใจแทนเขาไปหมด เป็นการปิดโอกาสที่จะให้เขาได้ลองคิด วิเคราะห์ และหาคำตอบที่ตัวเองต้องการจริงๆ และการคิดแทนลูกจะส่งผลให้ลูกโตไปเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองในอนาคตด้วย เพราะพ่อแม่คิดแทนเขาไปหมดแล้วตั้งแต่เด็ก


3. คาดหวังจากลูกมากเกินไป

เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับคนเป็นพ่อแม่ ที่จะไม่คาดหวังในตัวลูก เพราะเรารักและอยากให้เขาโตไปมีอนาคตที่ดี ความรักจึงมาพร้อมกับความคาดหวังเสมอแม้เราจะพยายามไม่คาดหวังจากเขาก็ตาม แต่ความคาดหวัง ถ้าเป็นไปได้ควรมีแต่น้อย เพราะถ้ามีมากไปจะเป็นการกดดันและทำให้ลูกรู้สึกเครียดเกินไป


4. ไม่ฟังลูกจริงๆ

หลายครั้งที่ยอมรับว่าก็ไม่ได้ตั้งใจฟังลูกจริงๆ เพราะมีหลายอย่างที่ต้องคิดต้องทำมายมายเต็มไปหมด แม้ลูกจะยังเล็ก แต่เชื่อไหมว่าลูกรู้ว่าเราตั้งใจฟังหรือไม่ฟังเขา การหาเวลานั่งคุยกับลูก ฟังเรื่องที่ลูกอยากจะเล่าแบบตั้งใจฟังจริงๆ สามารถช่วยให้ลูกเปิดใจกับเรามากขึ้น และยังทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ากับพ่อแม่อีกด้วย


5. ปกป้องลูกเกินพอดี

หลายครั้งที่พ่อแม่คิดแทนลูกว่าลูกยังเล็ก ลูกทำไม่ได้หรอก และหลายครั้งที่เราห่วงเขามากจนอยากจะปกป้องเขาจากความผิดหวัง จนทำให้ลูกไม่มีโอกาสได้เผชิญกับปัญหาและเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองเลย การปกป้องลูกควรมีขอบเขตอยู่ในความปลอดภัย แต่การปกป้องลูกมากเกินไปจนทำให้ลูกไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ทำหรือคิดด้วยตัวเองเลย จะทำให้เขาโตไปอยู่ได้ยากในวันที่เราไม่อยู่แล้ว


6. พูดแต่ไม่เคยแสดงหรือเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น

วิธีสอนลูกที่ได้ผลและดีที่สุดคือการทำให้ลูกเห็น การที่เราพร่ำสอนและพูดให้ลูกทำสิ่งต่างๆ จะไม่เกิดผลเลยถ้าเรายังไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้ ยกตัวอย่างเช่น เราจะสอนลูกให้เล่น iPad หรือมือถือให้น้อยลงไม่ได้เลย ถ้าตัวเราเองยังคงเล่นเยอะอยู่


7. ไม่ให้โอกาสลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวของเขาเอง

ลูกจะเรียนรู้ได้ดีผ่านการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวของเขาเอง การที่เขามีเราที่คอยทำทุกอย่างให้กับเขา เขาจะไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ด้วยความชำนาญและเขาจะไม่สามารถเรียนรู้ข้อผิดพลาด วิธีทำที่ถูกต้อง การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือแม้แต่การจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้เลย ถ้าเรายังคอยทำทุกอย่างให้เขาอยู่

Writer Profile : Tuk LittleMonster

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



วิธีช่วยให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน
กิจกรรมของครอบครัว
ตัวตนของลูก คือทางของลูก
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save