fbpx

ทารกมีสิว อันตรายหรือไม่

Writer : OttChan
: 30 กรกฏาคม 2562

เราจะทราบกันดีว่าการเป็นสิวนั้นจะพบได้ในวัยรุ่นหรือที่เรียกว่าช่วงเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของฮอร์โมนร่างกาย แต่ในความจริงนั้นกับทารกที่พึ่งเกิดเอง ก็มีสิวได้เช่นกัน

แล้วสิวนี้มาจากไหนกันละนี่ อันตรายรึเปล่า เป็นเรื่องคุณแม่ต้องกังวลหรือไม่

วันนี้ทาง Parents One จะมาอธิบายถึงสภาวะสิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเจ้าตัวเล็กนะคะ ว่ามันเกิดจากอะไรแล้วส่งผลอะไรบ้างกับการเจริญเติบโต

สิวทารกเกิดจากอะไร

ทารกนั้นจะเริ่มมีสิวในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกเกิดแล้วก็จะหายไปได้เองตามธรรมชาติและส่วนมากจะผมในทารกเพศชายมากกว่า ในส่วนของสาเหตุการเกิดสิวนั้นมีข้อการสันนิษฐานทั้ง 4 ประการ

  • เป็นกรรมพันธุ์ของฝั่งคุณพ่อและคุณแม่ว่าในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่นเป็นคนมีสิว และสิ่งนี้ก็ถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกได้
  • เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวแล้วเกิดการอุดดันรูขุมขนบนผิวหน้า
  • ความสกปรกบนใบหน้าจนทำให้เกิดสิว
  • ได้รับถ่ายทอดสารบางอย่างจากน้ำนมของคุณแม่จนเกิดการกระตุ้นให้มีสิว

สิวทารกเป็นอย่างไร

เมื่อแรกเกิดมา บางครั้งก็พบเห็นว่าผิวเนียนๆของลูกมีจุดแดงๆหรือตุ่มขนาดเล็กขึ้นซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 2 อย่างคือ Milia (สิวข้าวสาร), สิว ซึ่งหาเป็น Milia จะไม่ขยายขนาด ไม่มีอาการอักเสบหรือลุกลามขึ้ยตามบริเวณใบหน้า สามารถหายไปได้เองรวดเร็วกว่า แต่หากเป็นสิวทารก จะมีลักษณะเป็นตุ่มแดงขึ้นแถวบนหน้าผาก, จมูก, แก้มซึ่งหากมีการอักเสบอาจจะลุกลามไปผิวหนังส่วนอื่นๆได้

สิวทารกอันตรายหรือไม่

หากเป็นสิวที่สามารถหายไปได้เอง ไม่มีอาการเรื้อรังหรือผุดขึ้นใหม่จนคล้ายผื่น ยังไม่ถือว่าเป็นอันตราย เว้นเสียแต่ตัวสิวนั้นจะมีอาการอักเสบสำคัญที่สุดคือคุณพ่อและคุณแม่จะต้องแยกให้ออกระหว่างเป็นสิวกับผดผื่นเพราะผดผื่นนั้นจะสร้างความระคายเคืองและบอกได้ถึงอาการแพ้ของลูกน้อยที่น่ากังวล ซึ่งสิวจะเห็นเป็นจุดชัด ขึ้นแล้วไม่มีอาการคัน แต่ผดผื่นจะเป็นจุดติดกันเยอะๆ ขึ้นตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง ทั้งยังมีความระคายเคือง

ป้องกันการเป็นสิวทารกเพิ่มได้อย่างไร

แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายแต่หากไปแกะไปเกาก็อาจจะทำให้เป็นแผลหรือเกิดความระคายเคืองอื่นได้กับลูกน้อย ดังนั้นวิธีการป้องกันไม่ให้สิวขึ้นใบหน้าลูกน้อยหรือเป็นเพิ่มอีกจัดการได้ 8 ประการ

  • สวมใส่ถุงมือให้ลูกกันเขาใช้นิ้วสัมผัส แกะเกาใบหน้า
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อให้รูขุมขนของเขาไม่มีสิ่งใดอุดตัน
  • อาบน้ำและเช็ดทั้งใบหน้าและตัวให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ผิวต้องแห้ง ไม่ชื้นหรือหากมีเหงื่อออกก็ต้องเช็ดทำความสะอาด
  • เสื้อผ้าต้องซักใหม่ก่อนใช้ ผ้าขนหนูต้องเปลี่ยนผืนไม่ใช้ซ้ำกันเป็นเวลานาน
  • ไม่แกะหรือจับสิวของลูกเพราะจะทำให้หายยากยิ่งขึ้น
  • ทานแต่อาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารจากนมแม่ได้อย่างเต็มที่
  • หากคุณแม่มียาตัวไหนทานประจำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจว่าจะมีผลกระทบอะไรกับตัวลูกน้อยหรือไม่

หากอาการสิวทารกหนักขึ้นเรื่อยๆควรทำอย่างไร

ในกรณีที่ทำตามทุกอย่างแล้วแต่สิวทารกก็ยังไม่หายไปจนถึงตอนที่ตัวทารกเริ่มโตขึ้นแต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะหายขาด ต้องเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุต่อไปเพราะอาจจะมีปัจจัยอื่นอีกที่เกี่ยวกับภายในร่างกายของเขา หรืออาจเกิดจากอาการแพ้อย่างอื่นก็เป็นได้

ที่มา : doctorbepanthenthaibaby.kapook, amarinbabyandkids

Writer Profile : OttChan

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save