fbpx

ป้องกันอย่างไร! เมื่อทารกเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

Writer : nunzmoko
: 26 ตุลาคม 2561

คุณพ่อคุณแม่อาจจะได้ยินข่าวของเด็กทารกที่หยุดหายใจขณะหลับมาบ้าง เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองควรให้ความใส่ใจและระมัดระวังอย่างมาก เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดคิดได้ อาการของทารกที่หยุดหายใจขณะนอนหลับมีสาเหตุมาจากอะไร และจะมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้างไปดูกันค่ะ

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะทารกหยุดหายใจขณะหลับ

  • หายใจไม่ออก จากการที่จมูกหรือปากถูกทับไว้
  • ที่นอนนิ่มเกินไป ทำให้เด็กหน้าจมไปกับที่นอน และเด็กยังไม่สามารถยกศีรษะให้พ้นที่นอนได้
  • มีผ้า หรือหมอนอยู่ใกล้ๆ เมื่อเด็กขยับตัวอาจจะไปปิดหน้าเด็ก ทำให้เด็กหายใจไม่ออก
  • กดทับกระเพาะอาหาร น้ำนมอาจจะยังย้อนออกมา และสำลักเข้าไปในปอดได้
  • คุณพ่อคุณแม่บางคนนิยมให้ลูกนอนคว่ำ แต่ทางการแพทย์แนะนำให้เด็กนอนหงายเพราะหายใจโล่งสะดวกมากกว่า

การป้องกัน

1. อุ้มลูกพาดบ่าหลังให้นม

ให้ลูกนอนหงาย ก็ต้องระวังเรื่องน้ำนมอาจไหลย้อนขึ้นมา และทำให้ลูกสำลักได้เช่นกัน ฉะนั้นหลังให้นมทุกครั้งคุณแม่ควรอุ้มลูกพาดบ่า หรือจับลูกนั่งหลังตรง ก่อนสัก 5-15 นาที เพื่อให้ลูกเรอ เป็นการไล่ลมในกระเพาะอาหาร ก่อนแล้วจึงให้นอน

2. ระวังเวลาลูกนอนตะแคง

ให้ลูกนอนตะแคง การนอนตะแคงก็มีข้อควรระวังอยู่เช่นกัน ถึงแม้ว่าไม่มีรายงานว่าการนอนตะแคง จะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับเหมือนกับการนอนคว่ำก็ตาม และสิ่งที่ต้องระวังก็คือเมื่อให้ลูกนอนตะแคง ต้องดูตำแหน่งแขนด้านล่างของลูกว่าไม่ทับไปทั้งแขน ต้องดูด้วยว่าแขนลูกด้านล่าง อยู่ต่ำ และยื่นไปข้างหน้ามากพอที่จะไม่พลิกตัวนอนคว่ำหน้าลงไปได้เอง ทางที่ดีคุณอาจจะหาหมอนข้าง หรือนำผ้าขนหนูมาม้วนๆ ดันหลังลูกเอาไว้

3. เลือกเบาะนอนที่ไม่อ่อนนุ่มเกินไป

เบาะนอนที่ดีต้องมีความแข็ง ไม่หนาและอ่อนนุ่มจนเกินไป เพราะเมื่อเด็กพลิกคว่ำอาจกดทับการหายใจ โดยเฉพาะเด็กอายุ 4-6 เดือนที่คว่ำเองได้ แต่หงายเองไม่ได้

4. เลือกหมอนให้ถูกวิธี

หมอนต้องไม่อ่อนนุ่ม และใบใหญ่เกินไป เพราะอาจกดทับหน้า ปิดจมูกได้

5. ไม่วางผ้าห่มใกล้หน้าเด็ก

อย่าวางผ้าห่ม หรือกองผ้าไว้ใกล้ศีรษะเด็ก เพราะผ้าที่อยู่ใกล้ๆ เด็ก เมื่อเด็กขยับตัวอาจจะไปปิดหน้าเด็ก ทำให้เด็กหายใจไม่ออกได้
ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เกี่ยวกับเรื่องการนอนอย่างปลอดภัย มาฝากเพื่อนผู้อ่านถึงเรื่องการดูแลเรื่องท่านอนของเจ้าหนูน้อยวัยทารกอย่างถูกวิธี

ที่มา :

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



CAR SEAT กับเด็กแต่ละช่วงอายุ
ข้อมูลทางแพทย์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save