fbpx

" ยิ่งพูดยิ่งดื้อ " รวมคำพูดที่พูดกับลูกแล้วทำให้ลูกยิ่งดื้อ

Writer : Jicko
: 4 มีนาคม 2562

คุณพ่อคุณแม่อาจจะพบเจอปัญหาหนูน้อยจอมดื้อและหาวิธีปราบเจ้าตัวน้อยกันต่างๆ นานา ซึ่งข้อมูลของคุณหมอกล่าวว่า การที่เด็กดื้อหรือซนนั้นเกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น เด็กแต่ละคนนั้นเกิดมาไม่เหมือนกัน และแต่ละคนก็มีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งช่วงอายุ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กดื้อ โดยเฉพาะในช่วยอายุ 1-3 ปี เพราะเขาจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงนนั้นเองค่ะ

และปัญหาที่มักเจอสำหรับคุณแม่ๆ นั้นก็คือ การที่ไม่ว่าจะพูดกับเด็กๆ ยังไง เขาก็ไม่ยอมฟังเอาเสียเลย กับทำตรงข้ามที่บอก วันนี้ทาง Parentsone จึงได้รวบรวมคำพูดที่เมื่อพูดกับลูกแล้วยิ่งทำให้หนูน้อยยิ่งดื้อ เพื่อนำไปปรับใช้กับเด็กๆ ที่บ้านของคุณแม่ๆ กัน ไปดูกันเลยค่ะ

  • หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้น พ่อ/แม่จะ…

การขู่ลูกเป็นการแก้ปัญหาแบบสั้นๆ ยิ่งคุณเป็นคนที่ขู่แต่ไม่ทำตาม เด็กๆ ก็จะเรียนรู้ว่า สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ขู่นั้นไม่ได้มีความหมายเท่าไหร่ หรือการที่ขู่ในส่ิงที่เป็นไปไม่ได้ นานๆ ไปเด็กๆ ก็จะไม่เชื่อฟังในคำพูดของคุณพ่อคุณแม่อีกต่อไป ในทางกลับกัน ควรเปลี่ยนการพูด และบอกให้ลูกรู้ว่า ถ้าทำสิ่งนั้นแล้วผลจะเป็นอย่างไรมากกว่าค่ะ

 

  • อย่า!!!

ยิ่งพูดคำว่าอย่า เด็กๆ ก็ยิ่งไม่เชื่อฟัง เช่น ” อย่าซน ”  ” อย่าดื้อ ” ซึ่งหลายบ้านก็มักจะติดปากพูดคำๆ นี้เสมอ และจิตใต้สำนึกของเด็กๆ ก็จะรับรู้คำว่า “ดื้อ” และ “ซน” เข้าไปจนบางครั้งเด็กๆ ก็เชื่อว่าเขานั้นดื้อและซนจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนวิธีพูด เช่น ” อย่าเสียงดัง ! ” เป็น ” พูดเบาๆ นะคะลูก ” เป็นต้น

 

  • ทำไมไม่ทำตัวน่ารักแบบน้องบ้าง

การที่เด็กๆ ถูกเปรียบเทียบ มันไม่ได้เป็นแรงผลักดันให้เด็กๆ รู้สึกผลักดันทำในสิ่งที่ดีๆ เพราะส่วนใหญ่เด็กๆ มักจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เด็กๆ มักจะรู้สึกโกรธ รู้สึกอิจฉา หรือแสดงพฤติกรรมต่อต้านอย่างรุนแรงนั้นเองค่ะ แทนที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่นหรือพี่น้องด้วยกัน คุณพ่อคุณแม่ลองให้กำลังใจในส่ิงที่เด้กๆ ได้ทำหรือพยายาม และชื่นชมในส่ิงที่ลูกเป็น จะเป็นทางที่ดีกว่าการเปรียบเทียบนะคะ

 

  • เดี๋ยว ๆ รอให้พ่อ/แม่ กลับบ้านก่อนเถอะ!

เชื่อได้เลยว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่หลายบ้านก็ยังใช้คำๆ นี้อยู่ แต่บอกได้เลยนะคะว่า มันเป็นการทำลายอำนาจของคุณทางอ้อม ซึ่งเป็นการบอกว่า คุณไม่สามารถรับมือกับพฤติกรรมของพวกเขาได้ การที่ใช้คำนี้บ่อยๆ จะทำให้เด็กๆ ไม่เคารพและเชื่อฟังสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พูดอยู่นั้นเองค่ะ

 

  • ทำแบบนี้เดี๋ยวไม่รักนะ

เด็กๆ เขาไม่รู้หรอกว่าทำอะไรแบบไหนแล้วจะถูกใจคุณพ่อคุณแม่ บางครั้งเราให้เขาทำอะไรไปก็อาจจะมีช้า หรือโอ้เอ้กันไปบ้าง และด้วยความหงุดหงิดของคุณพ่อคุณแม่เองก็อาจจะเผลอพูดคำๆ นี้ออกไป “คำว่าเดี๋ยวไม่รัก” มันเป็นเหมือนคำขู่  ซึ่งถ้าเด็กๆ ได้ยินบ่อยๆ เขาอาจจะกลัวถ้าไม่ทำให้เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะไม่รัก อาจจะกลายเป็นไม่รู้สึกอะไร และจะต่อต้านคำพูด ดื้อและไม่ทำตามอีกต่อไปนั้นเองค่ะ

 

  • อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวตำรวจจับนะ

เป็นคำที่เราเหล่าคุณพ่อคุณแม่มักใช้กับลูกที่ดื้อมากๆ ว่าจะขู่ให้ตำรวจมาจับ ซึ่งการขู่ เป็นการใช้คำพูดเพื่อสื่อออกมาว่า เมื่อทำแบบนี้แล้วจะเกิดผลอะไรตามมาบ้าง ซึ่งการบอกเหตุผลที่สอดคล้องกัน ทำให้เด็กๆ มีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ดีกว่า จะทำให้การเรียนรู้ดีตามไปด้วยนะคะ แต่การขู่แบบนี้ เด็กๆ จะขาดการเรียนรู้แบบเป็นเหตุเป็นผลไป เมื่อโตขึ้นเขาจะยิ่งไม่เชื่อคำขู่ต่างๆ เพราะรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่มีอยู่จริงนั้นเองค่ะ

 

  • พูดไปบ่นไป 

คุณพ่อคุณแม่มักจะบ่นไปเรื่อยๆ เมื่อเด็กๆ ไม่ยอมเชื่อฟัง แต่ไม่ได้ลงมือทำหรือออกฏอะไรจริงจัง สุดท้ายบ่นจนเหนื่อยแล้วก็หายไป เด็กๆ ก็ได้เล่นเกมหรือทำสิ่งที่บอกว่าให้หยุดทำเหมือนเดิม โดยไม่เกิดอะไรขึ้นนั้นเองค่ะ

 

  • ถ้าทำได้ พ่อกับแม่จะให้รางวัล

ให้รางวัลแบบเล็กๆ น้อยๆ ได้นะคะ แต่อย่าให้รางวัลกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกทำได้ดี และอย่ายกระดับกฎเกณฑ์การให้รางวัลให้มันสูงขึ้นทุกครั้งที่ลูกได้ทำดี เพราะจะทำให้เขาได้ใจและจะทำเพื่อขอรางวัลและคิดว่ารางวัลเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำทุกๆ อย่าง และถ้าวันไหนที่เราไม่ให้รางวัลเขา เขาก็อาจจะงอแงเอาแต่ใจและคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นก็ได้ค่ะ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเปลี่ยนเป็นคำพูดชื่นชมเขาแทน เป็นกำลังใจให้เด็กๆ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดต่อไปก็ได้นะคะ

 

  • ลูกช่วยทำ….ได้ไหม

คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะเข้าใจผิด ว่าการ “ขอ” แบบนี้เป็นการแสดงมารยาทที่ดี แต่การทำแบบนี้จะทำให้อำนาจของคุณพ่อคุณแม่ลดลง ทำให้เด็กๆ คิดว่าเป็นคำขอ  จะทำหรือไม่ทำก็ได้นั้นเองค่ะ

 

  • เรียนไม่เห็นเก่งเหมือนข้างบ้านเลย

เมื่อคุณพ่อคุณแม่พูดประโยคประมาณนี้ เด็กๆ จะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า สำหรับพ่อแม่ ทำให้เขาเกิดพฤติกรรมชอบพูดย้อนกับเราได้ และจะกลายเป็นเด็กก้าวร้าวในที่สุด คุณพ่อคุณแม่ต้องชื่นชมและให้กำลังใจเขาในสิ่งที่เขาเป็นและ อยู่เคียงข้างเขานั้นเองค่ะ

 

  • ทำไมหนูไม่รับผิดชอบอะไรเลย

เหมือนเป็นคำพูดที่โทษตัวลูก และเด็กอาจจะยังไม่เข้าใจกับภาษาที่คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังสื่อสาร ทำให้เขารู้สึกน้อยใจและรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขา เขาก็จะต่อต้านและดื้อในที่สุด คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนคำพูดเป็น “แม่เสียใจนะ ที่หนูไม่ทำงานบ้านตามที่ตกลงกัน” แทนนั้นเองค่ะ

 

  • ตะโกนเรียกชื่อ

บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะเผลตะโกนเรียกชื่อข้ามจากอีกที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดและจะทำให้เด็กๆ ยิ่งเมินเฉย ไม่เชื่อฟัง คุณพ่อคุณแม่ควรจะเรียกชื่อเขาชัดๆ และเดินเข้าไปหาเขา แล้วเมื่อเขาหันมาหาคุณพ่อคุณแม่ เราจึงค่อยๆ พูดในส่ิงที่อยากจะให้เขาทำหรือบอกเขานั้นเองค่ะ

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



เด็กอายุ 2-5 ขวบ เด็กอายุ 2-5 ขวบ
1 สิงหาคม 2561
7 สิ่งที่เด็กวัย 2 ขวบทำเก่ง
ช่วงวัยของเด็ก
ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save