fbpx

ไรฝุ่น ภัยอันตรายใกล้ตัวลูกน้อย

Writer : Lalimay
: 15 กุมภาพันธ์ 2561

โรคภูมิแพ้ คือโรคยอดฮิตที่เกิดกับเด็ก ซึ่งสาเหตุหลักๆ เกิดขึ้นจาก “ไรฝุ่น” ที่อาศัยอยู่ร่วมกับเตียงนอนของเรา ถึงแม้ไรฝุ่นจะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก แต่มันก็สร้างปัญหาด้านสุขภาพได้ไม่น้อยเลย วันนี้เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับไรฝุ่น รวมไปถึงวิธีการกำจัดไรฝุ่นมาฝากค่ะ

ไรฝุ่นคืออะไร ?

ไรฝุ่นคือแมลงที่มีขนาดเล็กมากๆ เล็กจนตาเปล่ามองไม่เห็น ถ้าเทียบขนาดของไรฝุ่นก็จะเล็กกว่ารอยปากกาที่จุดบนกระดาษเสียอีก ไรฝุ่นมี 8 ขา ไม่มีตา ตัวมีลักษณะกลมรี และสีขาวขุ่น เมื่อโตเต็มวัยจะ วางไข่คราวละ 20 – 50 ฟอง 3 สัปดาห์/ครั้ง ระยะฟักตัว 8 – 12 วัน แต่ละตัวมีอายุ 2 – 4 เดือน

ไรฝุ่นไม่กัดแต่มันกินเศษผิวหนังและรังแคของคนและสัตว์เลี้ยงที่หลุดลอกออกมา ซึ่งทำให้มันเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ เศษหนังกำพร้าของคน 1 กรัม เป็นอาหารให้ไรฝุ่น 1 ล้านตัวมีชีวิตได้นาน 1 สัปดาห์ โดยทั่วไปคนเราจะมีผิวหนังหลุดลอกประมาณ 1.5 กรัมต่อวัน ซึ่งนั่นทำให้ไรฝุ่นมีชีวิตอยู่ได้อย่างสบายๆ เลย

ไรฝุ่นอยู่ที่ไหน ?

ไรฝุ่นชอบอยู่ในที่อุ่น ชื้นและเต็มไปด้วยฝุ่นละออง และไม่ชอบแสงสว่างจึงมักพบได้ทั่วไปในบ้านในที่ที่มีฝุ่นเยอะๆ โดยเฉพาะบนที่นอนของเรา ไม่ว่าจะเป็น ฟูกนอน ผ้าปูเตียง หมอน ผ้าห่ม ตุ๊กตา รวมไปถึงพรมปูพื้น เพราะเป็นสถานที่ที่เซลล์ของเรามักหลุดลอกไปเป็นอาหารให้ไรฝุ่นได้มากที่สุด

แพ้ไรฝุ่นเกิดจากอะไร ?

คนที่แพ้ไรฝุ่นเกิดจากการแพ้โปรตีนที่เป็นของเสียจากไรฝุ่น ทั้งมูลและซากที่ตายแล้ว ซึ่งสามารถฟุ้งกระจายได้ง่าย และจะลอยเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของเรา ในขณะนอนหลับ และเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารแปลกปลอมใด ๆ ที่ผ่านเข้าไปด้วยการผลิตสารภูมิต้านทาน (Antibody) โดยเฉพาะขึ้นมาและจดจำว่าสารดังกล่าวเป็นสารก่อภูมิแพ้ และเมื่อเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้นั้น ๆ ในครั้งต่อไปก็จะปล่อยสารฮีสทามีนที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ ตามมา

อาการแพ้ไรฝุ่นเป็นอย่างไร ?

  • จาม
  • น้ำมูกไหล คัดจมูก หรือคันจมูก
  • มีเสมหะ ไอ ระคายเคืองในลำคอ
  • คันตา น้ำตาไหล หรือตาแดง
  • คันที่ผิวหนัง
  • ใต้ดวงตาบวมช้ำ
  • อาการในเด็กอาจทำให้เจ้าตัวถูจมูกบ่อย ๆ เนื่องจากเกิดความระคายเคือง

ซึ่งอาการแพ้ไรฝุ่น อาจจะส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ดังนี้

  • โรคภูมิแพ้
  • โรคทางเดินหายใจอักเสบตลอดปี
  • โรคตาอักเสบ (ตาระคายเคือง)
  • โรคจมูกอักเสบ (น้ำมูกไหลและมีการจาม)
  • โรคหอบหืด (ไอและมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ) , โรคหอบหืดในระยะต่อไป
  • โรคผิวหนังอักเสบ (ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น มีผื่นแดงและคัน)
  • โรคปวดศีรษะ
  • โรคผื่นคัน

วิธีการกำจัดไรฝุ่น

  • เปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกๆ 2-4 สัปดาห์ โดยนำผ้าปูที่นอนและผ้าห่มซักด้วยน้ำร้อน อุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส
  • ใช้ผ้าปูที่นอนและปอกหมอนกันไรฝุ่น ซึ่งเป็นผ้าที่ทออย่างแน่นหนา ซึ่งป้องกันไรฝุ่นเข้ามาอยู่อาศัย รวมทั้งยังกันไรฝุ่นที่มีอยู่ตามที่นอนอยู่แล้วไม่ให้ออกมา
  • ใช้เครื่องนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์ เช่น ผ้าฝ้าย หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าห่มหรือผ้าปูที่นอนที่จะมีไรฝุ่นเกาะง่ายและยากต่อการทำความสะอาด เช่น ผ้านวม ผ้าที่ทำจากขนสัตว์
  • ควรระบายอากาศในห้องนอนเพื่อลดความชื้น
  • หากมีตุ๊กตาบนที่นอน ควรเป็นตุ๊กตาที่ทำความสะอาดได้ และซักบ่อยๆ
  • การทำความสะอาดพื้นด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำถูพื้นจะช่วยลดจำนวนไรฝุ่นได้มาก ไม่ควรทำความสะอาดโดยการกวาดอย่างเดียวหรือใช้ผ้าแห้งเพราะอาจทำให้ไรฝุ่นฟุ้งขึ้นมาได้
  • จัดระเบียบบ้านให้เรียบร้อย โดยเฉพาะในห้องนอน ไม่ควรมีของประดับตกแต่งมากเกินไป เพราะฝุ่นจะมาเกาะได้ อีกทั้งควรทำความสะอาดเป็นประจำ เพราะในเวลากลางคืนเรามักสูดดมไรฝุ่นเข้าไปในขณะที่นอนหลับ

ขอบคุณข้อมูลจาก

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ข้อมูลทางแพทย์ ข้อมูลทางแพทย์
29 สิงหาคม 2560
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save