fbpx

ทำความรู้จักกับโรคดื้อต่อต้าน (ODD) โรคแอบแฝงที่พ่อแม่ไม่รู้

Writer : Lalimay
: 15 มีนาคม 2561

คุณเริ่มรู้สึกรับมือลำบากกับอาการดื้อของลูกอยู่รึเปล่าคะ? ทั้งไม่ฟังพ่อแม่ ไม่ทำตามกฎระเบียบ อารมณ์รุนแรง หงุดหงิดง่ายในระดับที่เกินกว่าเด็กทั่วไป สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเป็นประจำ หากมีอาการเหล่านี้อาจหมายความว่าลูกกำลังเข้าข่ายโรคดื้อต่อต้านแล้วค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่เข้าใจว่าเป็นอาการที่แตกต่างกับดื้อปกติ ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลร้ายต่อลูกในอนาคต วันนี้เราจึงอยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับโรคดื้อต่อต้านให้มากขึ้น จะได้รับมือกับอารมณ์ของลูกได้ค่ะ

โรคดื้อต่อต้านคืออะไร

โรคดื้อต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder : ODD) มักแสดงให้เห็นในเด็กอายุ 8 ปี จะพบก่อนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งมีรูปแบบพฤติกรรมต่อเนื่องของการไม่เชื่อฟังที่แสดงออกด้วยอาการโกรธเป็นหลัก นอกจากนี้ยังไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่และทำตัวเป็นปรปักษ์อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าอาการดื้อจะเป็นธรรมชาติของเด็กที่อายุ 2-3 ขวบเพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโต แต่ถ้าเด็กมีพฤติกรรมเหล่านี้เป็นประจำในระดับที่มากเกินเด็กปกติทั่วไปในวัยเดียวกัน ก็อาจส่งผลกระทบต่อสังคม ครอบครัวและการเรียนของเด็กได้

อาการของโรคดื้อต่อต้าน

หลายครั้งการที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างเด็กที่มีความต้องการที่แน่ชัด เจ้าอารมณ์ และเด็กที่เป็นโรคดื้อและต่อต้านนั้นอาจเป็นเรื่องยาก เมื่อเด็กมีภาวะดื้อและต่อต้าน จะมีอาการที่เป็นสัญญาณเตือนที่ค่อยๆ เกิดขึ้น และอาจแสดงออกรุนแรงมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือนหรือปี เด็กอาจเป็นโรคดื้อและต่อต้านหากมีอารมณ์ไม่ดีตลอดเวลาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือนจนนำไปสู่ปัญหาภายในครอบครัวหรือที่โรงเรียน ซึ่งเด็กที่เป็นโรคดื้อและต่อต้านจะมีอาการหลักๆ ดังนี้เป็นประจำ

  • มีอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดเวลา
  • เถียงหรือชวนผู้ใหญ่ทะเลาะ
  • ตั้งใจทำให้คนอื่นรำคาญ
  • ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งและกฎเกณฑ์
  • โทษคนอื่นเมื่อเกิดข้อผิดพลาดหรือเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมไม่ดีของตน

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคดื้อต่อต้าน

  1. ปัจจัยจากตัวเด็ก คือ การมีพื้นอารมณ์เป็นเด็กที่เลี้ยงยาก สมองส่วนหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมอารมณ์และยับยั้งพฤติกรรมของตนเอง รวมทั้งระบบสารสื่อประสาทและฮอร์โมนมีความผิดปกติ รวมไปถึงความผิดปกติในระหว่างเป็นทารกในครรภ์มารดา และภาวะทุโภชนาการและการได้รับสารพิษบางอย่างก็ส่งผลให้เกิดโรคนี้ได้
  2. ปัจจัยจากพ่อแม่และครอบครัว อาจเกิดจากการที่พ่อแม่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมในวัยเด็ก จึงทำให้ขาดทักษะในการเลี้ยงดูลูกที่ถูกต้อง นอกจากนี้ความเครียดจากการเลี้ยงดูลูก การทำงานและความสัมพันธ์ในครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกเกิดโรคนี้ได้ อีกทั้งหากสมาชิกในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคทางจิต ไม่ว่าจะเป็น โรคความผิดปกติทางอารมณ์ โรควิตกกังวล และความผิดปกติทางบุคลิกภาพ เด็กจะเกิดโอกาสเป็นโรคดื้อต่อต้านได้สูง
  3. ปัจจัยจากการเลี้ยงดูและการฝึกวินัย เด็กที่มีพฤติกรรมดื้อ ต่อต้านแล้วก้าวร้าวมักได้รับการเลี้ยงดูในลักษณะที่ทำให้เด็กขาดความผูกพันทางอารมณ์ที่มั่นคงต่อพ่อแม่ คือเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลยหรือใช้ความรุนแรงกับเด็ก ตามใจลูกมากเกินไป หรือการเลี้ยงดูแบบไม่สม่ำเสมอคือบางครั้งก้เข้มงวด บางครั้งก็ตามใจ

แนวทางการแก้ไขโรคดื้อต่อต้าน

  1. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก พื้นฐานที่สำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องนี้คือความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจในตัวลูกใหม่ ทำความเข้าใจว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องใช้เวลาและความรักแก่ลูก
  2. การปรับพฤติกรรม ใช้วิธีการเสริมแรงทางบวกเมื่อเด็กทำพฤติกรรมที่ดี คือชื่นชมพฤติกรรมที่ดีของลูก ด้วยการชมให้เฉพาะเจาะจงมากที่สุด เช่น “แม่ชอบที่ลูกเก็บของเล่นเองมาก” รวมไปถึงการปรับพฤติกรรมของพ่อแม่ด้วยการทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีในสิ่งที่ต้องการให้ลูกทำตาม หลีกเลี่ยงการใช้อำนาจกับลูกมากเกินไป ไม่ควรทำโทษที่รุนแรงเกินควร เพราะจะทำให้เด็กดื้อต่อต้านและก้าวร้าวมากขึ้น
  3. การเลี้ยงดูและการฝึกวินัย พ่อแม่ควรฝึกวินัยให้ลูกอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่อายุประมาณ 1 ขวบขึ้นไป โดยเฉพาะเรื่องการกินและการนอนให้เป็นเวลาเพื่อให้เด็กชิน ควรกำหนดกฎระเบียบต่างๆ ในครอบครัวที่มีเหตุผลและชัดเจน ถ้าปฏิบัติตามจะได้ผลตอบแทนอย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีผลตามมาอย่างไร พ่อแม่ควรติดตามให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่ตั้งขึ้นอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ และไม่เลี้ยงดูอย่างตามใจเด็ก

หากทำตาม 3 ข้อแรกประมาณ 1-2 เดือนแล้วแต่ลูกยังไม่ดีขึ้น แสดงว่าเด็กหรือพ่อแม่อาจมีปัญหาทางจิตเวชที่ต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม เช่น เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น หรือพ่อแม่เป็นโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้า ก็ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม

ขอบคุณข้อมูลจาก

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



สิ่งที่แม่อยากจะบอกลูก
ชีวิตครอบครัว
10 โรงเรียนอนุบาลนานาชาติยอดฮิตในกรุงเทพ
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save