fbpx

5 ท่าทีของพ่อแม่ที่อาจทำให้ลูกเป็น "จิตเวช" ได้

Writer : Lalimay
: 21 พฤษภาคม 2564

ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าเด็กๆ มีความผิดปกติทางจิตเวชมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมีพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์แปรปรวน มีพัฒนาการล่าช้าหรือมีอาการผิดปกติทางจิตบางอย่าง ซึ่งอาการเหล่านี้นอกจากจะเกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมองแล้ว การเลี้ยงดูก็มีอิทธิพลไม่ใช่น้อย เพราะในหลายครั้งที่พบว่าเด็กที่มีความผิดปกติทางจิตเวช พบปัญหาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง วันนี้เราจะมาเล่าถึงพฤติกรรมหรือท่าทีบางอย่างของพ่อแม่ที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่กลับส่งผลกระทบถึงจิดใจลูกค่ะ

ประณามลูกอย่างไม่สมควร

ท่าทีแรกคือเรื่องของการใช้คำพูดค่ะ ในบางครั้งพ่อแม่อาจมีคำพูดที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อจิดใจของลูกอยู่เสมอ ทุกคำที่พูดมักเป็นคำที่แดกดันให้ลูกรู้สึกแย่ เช่น เมื่อลูกคนโตไม่ยอมให้น้องเล่นของเล่น เพราะเขาเล่นก่อน แต่พ่อแม่กลับต่อว่า ว่าลูกเป็นเด็กไม่ดีและเห็นแก่ตัว ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นสิทธิ์ของลูกว่าจะแบ่งหรือไม่แบ่งของเล่นให้น้อง เมื่อเป็นแบบนี้หลายครั้งเข้าลูกก็จะจดจำและกลายเป็นคนที่ยอมคนอื่นไปทุกอย่าง เพราะกลัวเป็นเด็กไม่ดี หรือกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวจริงๆ ไปเลยก็มี

เข้มงวดเกินไปและลงโทษลูกอยู่เสมอ

เรื่องที่ 2 คือ พ่อแม่ที่เข้มงวดจนเกินไป ลูกต้องทำทุกอย่างตามที่พ่อแม่ต้องการ  และลงโทษลูกอยู่ตลอด โดยไม่อธิบายเหตุผลอะไรให้เขาเข้าใจเลยว่าเหตุผลที่เขาทำผิดคืออะไร เด็กที่โดนกระทำแบบนี้มาตลอดก็จะเป็นเด็กขี้กลัว ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ยอมทำตามคนอื่นอยู่เสมอ เพราะอยากได้รับความรัก และขาดความมั่นคงทางใจ หรืออาจกลายเป็นขั้วตรงข้ามคือก้าวร้าว ไม่เชื่อฟังเลยก็ได้

แสดงความรักต่อลูกไม่เท่ากัน

พฤติกรรมต่อมาคือเรื่องที่พบได้บ่อยในครอบครัวที่มีลูกมากกว่า 1 คนขึ้นไป นั่นคือเรื่องของความลำเอียงหรือแสดงท่าทีต่อลูกแต่ละคนไม่เท่ากัน โดยจะทำให้พี่น้องเกิดความอิจฉา เด็กที่เป็นฝ่ายไม่ได้รับการกระทำที่เท่าเทียมกับอีกคนจะรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก มักจะกังวล อารมณ์อ่อนไหว กลายเป็นเด็กดื้อ เจ้าอารมณ์ และเต็มไปด้วยความรู้สึกชิงชังคนอื่น

ตามใจและปรนนิบัติลูกทุกอย่าง

เรื่องของการตามใจเป็นสิ่งที่พ่อแม่มักเผลอทำไปแบบไม่รู้ตัว เพราะอยากให้ลูกรู้สึกดีและได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด แต่รู้ไหมคะว่าการที่พ่อแม่ทำทุกอย่างให้ลูก และตามใจเขาตลอดเวลา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะผิดก็ตามจะทำให้เด็กกลายเป็นเอาแต่ใจ ไม่รับผิดชอบตนเองเท่าที่ควร มีบุคลิกภาพไม่เจริญสมวัย รวมไปถึงมีวุฒิภาวะต่ำอีกด้วย

คอยดูแลและระมัดระวังทุกย่างก้าว

พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบไข่ในหินอาจทำให้ลูกกลายเป็นคนที่เปราะบางมากขึ้นกว่าเดิม เขาจะไม่มีความอดทนและมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นโรคประสาทได้พอๆ กับเด็กที่ขาดความรัก เพราะบนโลกใบนี้ทุกคนจะต้องออกมาเผชิญโลกภายนอกด้วยตนเอง เรียนรู้ที่จะสุข เรียนรู้ที่จะทุกข์เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าไปตลอด ซึ่งการที่เขาได้เรียนรู้ก็จะทำให้เขามีจิตใจและบุคลิกที่แข็งแกร่งมากขึ้น

แน่นอนว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมหวังดีและอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูก แต่ในบางครั้งการกระทำบางอย่างของเราทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก็อาจทำให้เกิดแผลในใจลูกได้เช่นกัน

ข้อมูลอ้างอิงจาก

saranukromthai.or.th

 

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว
4 พฤศจิกายน 2563
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save