fbpx

10 วิธีรับมือทำอย่างไรดี? เมื่อลูกไม่อยากไปโรงเรียน

Writer : Mneeose
: 12 ธันวาคม 2561

เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กๆ มักไม่ชอบไปโรงเรียน เพราะต้องทำตามที่คุณครูสั่งทุกอย่าง ไม่เหมือนตอนอยู่บ้านที่จะทำอะไรก็ได้ บางครั้งอาจเกิดจากตัวเด็กเองที่ไม่อยากไปเรียน แต่บางครั้งก็อาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เช่น ถูกเพื่อนแกล้ง โดนครูไม่ชอบหน้าเข้า เราเห็นถึงปัญหาหนักอื้อของคุณพ่อคุณแม่ จึงขอเสนอ 10 วิธีรับมือทำอย่างไรดี? เมื่อลูกไม่อยากไปโรงเรียน ค่ะ ไปเรียนรู้และเข้าใจความคิดของเด็กกันเลย

1. พูดคุยกับลูกถึงสาเหตุที่แท้จริง ว่าทำไมลูกไม่อยากไปโรงเรียน?

เชื่อแน่นอนค่ะว่า ลูกจะไม่ยอมบอกเราตั้งแต่แรกว่าเป็นอะไร เเต่เมื่อค่อยๆ พูด ค่อยๆ ถามเขาแล้ว ลูกอาจจะบอกมาเป็นนัยๆ ไม่บอกทั้งหมด เพราะว่ากลัวเราจะไม่เชื่อ เช่น โดนเพื่อนแกล้งมา เมื่อไปบอกครูแล้วครูไม่เชื่อ หรืออาจจะนิ่งเฉยใส่ ในกรณีนี้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนต้องแสดงความเชื่อใจลูกว่าทุกคำที่ลูกพูดมาพ่อแม่จะเชื่อและหาวิธีแก้ปัญหาให้อย่างแน่นอน เพียงแค่ลูกพูดความจริง

 

2. สอนลูกหาเพื่อนสนิทไว้สักคน

ในชีวิตเราจะมีสิ่งสำคัญเพียงไม่กี่สิ่ง ซึ่งนอกจากครอบครัวแล้วก็จะมีเพื่อนสนิทนี่แหละค่ะ ที่คบกันตั้งแต่เด็กจนโตก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ข้อนี้อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองบอกคุณสมบัติต่างๆ รวมทั้งจำกัดนิยามของเพื่อนสนิทให้ลูกได้รับรู้ แล้วค่อยๆให้เขาหาเพื่อนสนิทด้วยตัวเขาเองค่ะ การมีเพื่อนสนิทตอนเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะลูกก็จะอยากไปเจอเพื่อนที่ตัวเองไว้ใจไปเล่นสนุกด้วยกันค่ะ

 

3. หาสิ่งที่ทำให้ลูกมีแรงจูงใจในการไปโรงเรียน

เมื่อเข้าไปเรียนได้สักพักแล้ว เราจะสังเกตได้ว่า ลูกจะกระตือลือล้นหรือชอบอะไรในโรงเรียน เช่น เมื่อไปโรงเรียนจะได้เล่นของเล่นต่างๆ ไม่จำกัดมากมาย หรือได้วาดรูปกับเพื่อนๆ ได้ขนมจากคุณครู เป็นต้น การมีสิ่งที่ชอบในโรงเรียนจะเป็นแรงขับได้อย่างดีให้กับลูกชอบและรักที่จะไปโรงเรียนทุกวัน

 

4. พาลูกไปเล่นที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียนบ่อยๆ

เพื่อให้ลูกได้คุ้นเคยกับโรงเรียน และรู้สึกว่าการมาโรงเรียนไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่อ แต่คือการได้ออกมาเจอกับโลกกว้างภายนอกที่ไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยมภายในบ้าน

 

5. อย่าโกหกลูกเรื่องเวลา

ไม่ควรโกหกลูกเรื่องเวลา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การบอกเด็กไปตรงๆ ว่าต้องไปเรียนนานเท่าใด เลิกกี่โมง เเละแม่จะมารับประมาณกี่โมง จะทำให้ลูกคิดเป็นระบบมีการวางแผนว่า ก่อนที่แม่จะมารับอยากทำอะไรก่อน เช่น ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนก่อน หรือไปอ่านหนังสือในห้องสมุด เป็นต้น ทำให้ลูกสามารถคาดการณ์ได้ด้วยตัวเอง

หากลูกเร่งอยากให้พ่อแม่มาถึงเร็วๆ เราควรบอกให้เขาดูที่เข็มนาฬิกา “เมื่อเข็มยาวถึงเลข…… แม่จะถึงพอดี” จะทำให้เขาเลิกงอแง และเป็นการฝึกการรอให้กับลูกด้วยค่ะ หากไม่จำเป็นจริงๆ อย่าให้ลูกรอนานจนเกินไป

 

6. อย่าขู่ลูกว่า!! เดี๋ยวครูตีนะ

ถ้าลูกไม่ยอมทำการบ้าน ห้ามขู่ลูกด้วยคำว่า “เดี๋ยวครูตีนะ” เพราะเด็กจะรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบการบ้าน ไม่ชอบครู แล้วพานไม่อยากไปโรงเรียนด้วย  ดังนั้นควรกำหนดเวลาการดูทีวีหรือพักผ่อนเวลาที่อยู่ที่บ้านหลังจากที่ทานข้าว และทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรให้ลูกทำการบ้านให้เสร็จก่อน แล้วค่อยให้ลูกเล่นดูทีวีค่ะ

 

7. หาขนมให้ลูกติดไม้ติดมือไปฝากเพื่อนและครูบ้าง

นอกจากจะเป็นการสอนลูกให้ลูกจักแบ่งปันแล้ว ยังส่งผลให้ลูกรู้สึกว่า ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ เพราะตัวเองมีน้ำใจชอบแบ่งปัน  และเพื่อนก็มีน้ำใจแบ่งให้ตัวเองด้วยเช่นกัน ทำให้รู้สึกดีเมื่อไปที่โรงเรียนค่ะ

 

8. สะกดจิตลูกเชิงบวก (NLP)

NLP ย่อมาจาก Neuro-Linguistic Programming เป็นการใช้ 3 ส่วน คือ ประสาทวิทยา (Neurology), ภาษา (Language) และการโปรแกรม (Programming) ที่ผลต่อการสร้างประสบการณ์ของมนุษย์

สิ่งที่พ่อแม่สามารถทำได้ก่อนลูกนอน คือ การพูดคำพูดดีๆ ให้กำลังด้านบวก และขั้นตอนในการใช้ชีวิตของลูกในแง่ดี

เมื่อลูกได้ฟังคำพูดๆดีๆ ประสบการณ์ดีๆที่ผ่านมา สิ่งที่เขาชอบ เขามีความสุข เขาก็จะมีความสุขค่ะ  ให้เลือกใช้คำที่เป็นบวก  ไม่ใช้คำว่า “ห้าม ไม่  หรือคำที่เป็นลบ โดยเลี่ยงคำแบบนี้ค่ะ ตัวอย่าง “ ไม่อ้วน ให้ใช้คำว่า สมส่วน “  “ ไม่สนุก ใช้คำว่า ได้ประสบการณ์ใหม่” เป็นการโปรแกรมภาพของวันพรุ่งนี้ที่มีความสุขให้เขาจินตนาการถึงวันพรุ่งนี้อย่างมีความสุขค่ะ

9. ไปส่งลูกที่โรงเรียน และอยู่เล่นกับเขา เมื่อเปิดเทอมวันแรก

หากลูกแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเริ่มเปิดภาคการศึกษาใหม่ พ่อแม่ก็ควรไปส่งลูกและเล่นกับลูกที่โรงเรียนด้วย และเข้าพบกับครูก่อนการเริ่มเรียน เด็กจะรู้สึกสบายใจค่ะ

 

10. ชวนลูกคุย + เล่นบ่อยๆ อย่าให้ลูกไม่ไปโรงเรียนเด็ดขาด

ถามลูกบ่อยๆ ว่าวันนี้เรียนเป็นไงบ้าง เจออะไรมาบ้าง เอาใจลูกมาใส่ใจเรา พูดคุยกับเค้าไปทีละเรื่อง ครูเป็นยังไง ใจดีไหม เพื่อนเป็นยังไง ชอบเล่นกับใคร ครูสอนอะไรบ้าง เรียนสนุกไหม วันนีได้กินอะไร อร่อยไหม แต่เด็กก็คือเด็ก ของเล่นที่ดีที่สุดคือพ่อแม่ ถ้าเราทำกิจกรรมทำการบ้านให้สนุกโดยใช้เราไปเล่นกับลูกด้วย เขาก็ไม่สนใจทีวีหรือของเล่นอย่างอื่นค่ะ

อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยดูเเลลูกเป็นพิเศษ เมื่อลูกเกิดอาการไม่อยากไปโรงเรียนขึ้นนะคะ และควรรีบหาสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่อยากไปโรงเรียนให้พบก่อนและค่อยๆ แก้ปัญหาจะดีมากเลยค่ะ แต่ยังไงหากเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ต้องสอนให้ลูกอดทนด้วยนะคะ

Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



เทคนิคฝึกลูกรักก่อนไปโรงเรียนวันแรก
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
10 โรงเรียนน่าสนใจ ประจำปี 2017
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
กำลังใจที่ไม่เคยสังเกต
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save