fbpx

24/7 จัดเวลาอยู่กับลูกให้ลงตัว เมื่อต้องอยู่กับลูกทั้งวันแบบไม่น่าเบื่อ สำหรับเด็กอายุ 3-6 ขวบ

Writer : Mneeose
: 25 ตุลาคม 2561

เมื่อลูกเริ่มโตและไปโรงเรียนแล้ว ทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้มีเวลาส่วนตัวที่จะอยู่กับตัวเองบ้าง นั่นถือเป็นข้อดีของระยะห่างกัน แต่เมื่อโรงเรียนปิดเทอม พ่อแม่บางคนอาจจะยังไม่คุ้นเคย เพราะเคยมีเวลาส่วนตัว แต่ตอนนี้ไม่มีอีกต่อไปจึงทำให้เกิดอาการเบื่อลูกได้ เราจึงขอเสนอวิธีในการทำงานควบคู่กับการเลี้ยงลูกเมื่อมีลูกอยู่ข้างกายตลอดเวลาให้มีความสุขในเวลาเดียวกัน ถ้าเรามีการจัดการเวลาที่ดีจะทำให้ลูกกับเรามีความสนิทสนม และไว้ใจเรามากขึ้นค่ะ

1.ทำตารางวันนี้อยากทำอะไรดีนะ?” ทั้งคุณแม่และลูก

นำกระดาษขึ้นมาจดรายการที่คุณแม่ต้องทำในวันนี้ และคอยถามลูกว่าวันนี้ลูกอยากทำอะไรดีนะ?” เพื่อให้ลูกกล้าแสดงความคิดเห็นกับคนในครอบครัว และไว้ใจว่าครอบครัวจะเปิดรับฟังความคิดเห็นของเขา จดรายการที่ต้องทำมาเป็นข้อๆ และทยอยทำให้สำเร็จเป็นอย่างๆ ไป  การทำตารางจะช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่า วันนี้เขามีสิ่งใดบ้างที่ต้องทำ ซึ่งเป็นการฝึกความรับผิดชอบแบบหนึ่งนั่นเอง นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกวางแผน เช่น ควรทำสิ่งที่ง่ายไปหายาก / ทำสิ่งนี้ก่อนหรือหลัง / ทำสิ่งที่ชอบก่อนสิ่งที่ไม่ชอบ เพื่อให้สำเร็จในทุกงาน

ข้อควรระวัง : อย่ากำหนดเวลาเป๊ะๆ จนเกินไป เพราะจะถือว่าเป็นการทรมานลูกน้อยเสียเปล่าๆ แค่กำหนดว่าวันนี้มีอะไรที่ต้องทำ แต่ไม่ต้องถึงขั้นกำหนดเวลา ช่วงวัย 3 – 6 ขวบ เป็นวัยที่กำลังซนได้ที่เลยทีเดียว ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ และคอยสนับสนุนเขา

2.ชวนลูกช่วยทำงานบ้าน

เมื่อมีงานบ้านต้องทำ ลองเรียกลูกมาช่วยเล็กๆน้อยๆ พยายามอย่าให้ลูกเล่นแต่มือถือ แต่มาเล่นกับพ่อแม่บ้าง และควรทำให้ลูกคิดว่าการทำงานบ้านนั้นเป็นสิ่งที่สนุก และไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น คุณพ่อคุณแม่อาจจะเล่นกับลูกไปพร้อมกับทำงานบ้านไปด้วยก็ได้  เมื่อทำงานบ้านเสร็จแล้วควรให้รางวัลลูกที่มาช่วยด้วย เช่น พาลูกไปเดินห้าง หรือพาลูกพาไปเดินเล่นนอกบ้านในตอนเช้า เพื่อให้ร่างกายได้สัมผัสกับแสงแดด ให้รู้สึกสดชื่นและมีพลังไปทั้งวัน พาไปรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ไปสระว่ายน้ำ หรือไปสวนสาธารณะก็ได้

ถ้าลูกยังมัวแต่เล่นมือถือให้คุณพ่อคุณแม่ใจเเข็งกำหนดเวลาในการเล่นโทรศัพท์ขั้นเด็ดขาด เพื่อเรียกลูกให้ไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์บ้าง

3.ถ้ามีงานส่วนตัวที่ต้องทำ ลองหาอะไรที่ลูกชอบมาดึงดูดความสนใจ

ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีงานด่วนที่ต้องทำจริงๆ เมื่ออยู่บ้านกับลูกควรหากิจกรรมที่ลูกชื่นชอบให้เขาได้ทำ เช่น การวาดรูป การเล่นของเล่น การดูการ์ตูน เป็นต้น และควรนั่งอยู่ข้างๆ ลูกคอยพูด และคอยเล่นกับลูกเป็นช่วงๆ

หากลูกเกิดอาการงอแง ให้หันมาพูดคุยและเล่นกับลูกสักพักก่อน แล้วค่อยกลับไปทำงานเหมือนเดิม หรือถ้าลูกโตพอจะพูดรู้เรื่องแล้ว อาจจะพูดกับลูกว่าถ้าเข็มยาวถึงเลข…… แม่จะมาเล่นด้วยนะจ๊ะ

4.เวลาที่ลูกหลับ คือ ลาภอันประเสริฐ

ใช่แล้วค่ะ คุณแม่ทุกคนต้องรู้สึกแบบนี้อย่างแน่นอน เพราะช่วงเวลาที่ลูกน้อยนอนหลับจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่คุณพ่อคุณแม่ได้พักผ่อนเอนกายที่แสนเพลีย และมีเวลาทำในสิ่งที่อยากจะทำได้ค่ะ ถ้าลูกหลับกลางวันก็ไม่ต้องเงียบกริบ เปิดทีวีเบาๆ ทำทุกอย่างได้ปกติค่ะ เรื่องการนอนระหว่างวัน คุณแม่สามารถสังเกตุได้จากลูกค่ะ พอเลี้ยงไปสักพักก็จะรู้แล้วว่าช่วงไหนเป็นเวลานอนลูก เด็กบางคนเขาจะนอนตรงเวลาของเค้าเอง แต่ถ้านอนหลับตอนกลางคืน ให้ปิดไฟในห้อง และพยายามทำทุกอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ 2 ทุ่มเป็นต้นไป เพื่อคุณแม่จะได้หายเหนื่อยไวๆค่ะ

5.หากคุณแม่มีงานที่ลูกสามารถช่วยทำได้ ลองให้ลูกช่วยทำ

ถ้าหากลูกโตพอรู้เรื่องแล้ว การที่ได้เขามาช่วยจดงาน หยิบนั่นหยิบนี่ให้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีนะคะ เพราะเขาจะรู้สึกว่าตัวเองได้ทำตัวมีประโยชน์เป็นที่พึ่งพาให้กับพ่อแม่ได้เหมือนกัน และที่สำคัญ เราสามารถสอนสิ่งต่างๆ ของงานไปให้เขาได้อีกด้วยหากเรื่องนั้นมันไม่ยาก และซับซ้อนมากจนเกินไป เมื่อลูกโตมาลูกจะซึมซับกับวิธีการทำงานของคุณพ่อและคุณแม่ได้เองค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ พอจะแก้เบื่อให้คุณแม่ที่ขี้เบื่อ และอยากมีมีเวลาส่วนตัวได้บ้างรึเปล่า ลองนำไปปรับใช้กันดูในชีวิตจริงกันนะคะ ยิ่งอยู่กับลูกและใช้เวลาร่วมกันกับเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ลูกสนิทสนม และไว้ใจเชื่อใจกับคุณพ่อคุณแม่มากขึ้นแน่นอนค่ะ

Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



10 โรงเรียนอนุบาลนานาชาติยอดฮิตในกรุงเทพ
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save