fbpx

5 ข้อแนะนำ หากลูกของคุณเริ่มใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต

Writer : Jicko
: 23 พฤษภาคม 2562

คุณพ่อคุณแม่หลายคนมักมีปัญหาเมื่อลูกเริ่มใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตกันใช่ไหมล่ะคะ หลายคนลูกติดเอามาก ทั้งมือถือทั้งแท็บแล็ตไม่ยอมปล่อยเลย วันนี้ทาง Parents one มี 5 ข้อแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ที่มีลูกเริ่มใช้สมาร์ทโฟนและแท็บแล็ตมาฝากกัน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

1.เรื่องของอายุของลูก ที่สามารถเริ่มการใช้งาน

เด็กหลายคนยังเด็กเกินไปสำหรับการใช้งานสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต หลายคนอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ แล้วอายุเท่าไหร่กันแน่ ที่เราจะเริ่มให้ลูกสามารถใช้สมาร์ทโฟนหรือว่าแท็บเล็ตได้

  • งานวิจัยของหลายเว็บ หลายๆ สถาบันก็แนะนำออกมาว่า สำหรับเด็กอายุ 0-2 ขวบนะครับ ยังไม่ควรให้ใช้เลย ห้ามใช้เลยเด็ดขาด ทั้งสมาร์ทโฟนแล้วก็แท็บเล็ตนะคะ
  • แต่ถ้าเด็กอายุ 2-5 ขวบ จริงๆ แล้ว  สามารถใช้ได้แล้วนะคะ แต่ก็ยังไม่ควรใช้เกิน 1 ชั่วโมงต่อวันนั้นเอง
  • แต่ถ้าเด็กอายุ 5-18 ปี นั้นควรให้เขาใช้ได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมงต่อวันค่ะ

ยังไงคุณพ่อคุณแม่ก็ลองจำกัดเวลาของลูกๆ ดูนะคะ ฝึกให้เขาได้ใช้อย่างมีระเบียบวินนัย เชื่อเลยว่าในอนาคตเขาจะต้องรู้ว่าควรใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมากน้อยเพียงใดต่อวันนั้นเองค่ะ

 

2.เรื่องของท่าทางในการใช้ที่ถูกต้อง

เด็กๆ หลายคนมักจะใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตแบบผิดท่าผิดทาง อย่างเช่น การจ้องมองที่ใกล้เกินไปหรือว่าไกลเกินไป ท่านั่งที่ผิดๆ ไปบ้าง ซึ่งเป็นผลเสียต่อสายตาและร่างกายรวมไปถึงโครงสร้างของตัวเด็กเองด้วยนะคะ

ซึ่งท่าที่ถูกต้องนั้นอย่างแรกเลยนั้นก็คือ

  • ควรวางแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนบนโต๊ะหรือพื้นที่ที่สามารถวางได้ ให้ห่างอย่างพอดีกับสายตา อย่างน้อย 1-2 เมตร นั่งตัวตรง

 

  • ไม่ควรก้มหน้าเข้าไปใกล้เกินไปกับจอสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อสายตาลูกได้

 

  • ไม่ควรนอนเงยหน้าระหว่างเล่นแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน หรือคลานอยู่กับพื้นแล้วเล่นไปด้วย

หากคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่เจอลูกๆ ใช้ท่าทางที่ผิดๆ ยังไงก็พยายามสอนให้เขาใช้ท่าทางในการเล่นที่ถูกต้องด้วยนะคะ  เพื่อนสุขภาพของเด็กๆ เองค่ะ

 

3.เรื่องการถนอนสายตา

เด็กๆ หลายคนชอบใช้สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตที่มีความสว่างแบบสุดขีด คือเห็นชัดมากแบบปรับสุดไปเลย ซึ่งความสว่างสูงสุดนี้ก็เป็นอันตรายต่อสายตามากๆ  อาจจะทำให้เด็กๆ สายตาสั้นอย่างรวดเร็วได้ด้วยนะคะ

  • ความสว่างที่เหมาะสมสำหรับการใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตนั้น ควรจะอยู่ประมาณ 35-40% ของความสว่างหน้าจอนะคะ

  • ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตรุ่นใหม่ๆ จะมีโหมดที่เรียกว่า Night Shif Mode เป็นโหมดที่เมื่อเด็กๆ ดูหรือใช้งานตอนกลางคืน หน้าจอจะมีการปรับแสงให้เหมาะกับการดูสิ่งต่างๆ บนหน้าจอ และมีการลดทอนแสงสีฟ้า และยังมีการปรับหน้าจอให้อุ่นขึ้น ซึ่งนี้แหละค่ะ มันจะสามารถถนอมสายตาของเด็กๆ ได้มากขึ้น ทำให้สายตาของลูกไม่เสียอีกต่อไปนั้นเองค่ะ

 

4.เรื่องการจำกัด การใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของเด็กๆ 

เด็กๆ หลายคนคงไม่ทราบหรอกค่ะว่าอะไรที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม บางทีผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็ไม่ได้อยู่กับลูก ดูแลเขาตลอดเวลา แต่ในแท็บเล็ตแล้วก็สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่จะมีฟีเจอร์หนึ่งที่ช่วยจำกัดเรื่องของการใช้งานได้นั้นก็คือ

  • Screen time ที่ฟีเจอร์นี้จะมีทั้งใน ipad และ iphone ที่สามารถดูได้หมดเลยไม่ว่าจะเป็น เมื่อลูกดูยูทูป หรือเล่นเกม รวมถึงการเข้าแอพต่างๆ เราก็สามารถดูได้ว่าลูกเราเล่นไปแล้วเป็นเวลาเท่าไหร่ และเราก็สามารถจำกัดเวลาได้เลยว่า ลูกๆ ของเรานั้นสามารถเล่นได้ไม่เกิน 30 นาทีนะ หรือ 20 นาที หากถึงเวลาที่ตั้งไว้ปุ๊ป ก็จะมีการแจ้งเตือนมาให้เราเห็น ทำให้เด็กๆ ไม่สามารถใช้ได้อีกหากเกินเวลานั้นเองค่ะ
  • การจำกัดอายุหรือคอนเทนต์สำหรับเด็ก ซึ่งเราสามารถจำกัดไม่ว่าจะเป็นการเสริชภาพ การโหลดเพลง โหลดภาพยนต์ต่างๆ ที่เกินอายุของลูกที่เรากำหนดไว้ เด็กๆ จะไม่สามารถทำได้ จะทำได้เฉพาะการ์ตูนที่มีอายุเท่ากับอายุที่เรากำหนดไว้ให้ลูกเท่านั้นค่ะ

ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะอยู่ในฟีเจอร์เดียวกันเลยครับ นั้นก็คือ “Screen Time” นั้นเอง

  • สุดท้ายก็คือเรื่องการจำกัดการเข้าแอพ ซึ่งใน App stone ของ Apple เอง ก็มีอายุกำกับอยู่แล้ว ว่าแอพนี้สำหรับเด็กอายุเท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ เราสามารถจำกัดอายุของแอพได้ แล้วเด็กๆ ก็สามารถโหลดได้เฉพาะแอพของตัวเองที่ช่วงอายุของตัวเองเท่านั้นนะครับ

5.เรื่องการเลือกแอพที่เหมาะสมกับเด็ก

หลายคนชอบให้ลูกดูยูทูป เพราะว่ามีทั้งการ์ตูน เพลง หลากหลายรูปแบบ แต่อย่างว่าในแอพของยูทูปเองก็มีแอพที่ชื่อว่า “Youtube Kids” ซึ่งมีให้โหลดใน App stone ทั้งกูเกิ้ลเพล และ App stone ของ Apple ซึ่งของแอพ Youtube Kids เองเด็กๆ จะสามารถดูได้เฉพาะช่องรายการที่เหมาะสมกับเด็กๆ เท่านั้น ที่มีการคัดเลือกมาแล้ว ยังไงก็แนะนำให้เด็กๆ ดูผ่าน Youtube Kids ดีกว่านะคะ ส่วนแอพอื่นๆ ก็มีช่วงอายุกำกับเอาไว้อยู่แล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ

 

นอกจาก 5 ข้อที่แนะนำมา ก็มีเรื่องที่สำคัญกว่า นั้นก็คือคุณพ่อคุณแม่ ควรต้องเป็นตัวอย่างให้กับลูก ทั้งเรื่องการใช้งานอุปกรณ์ เราต้องบอกลูกเสมอว่าห้ามใช้เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน แต่มันจะไม่สำเร็จเลยถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังเปิดมือถือตลอดเวลา ทั้งช่วงทานข้าว หรือช่วงที่คุยกับลูก ซึ่งเมื่อลูกเห็นเราเป็นตัวอย่าง  เขาก็จะติดพฤติกรรมเหล่านี้ไปด้วยนั้นเองค่ะ  และหวังว่า 5 ข้อดีๆ นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



จะรู้ได้ยังไง ว่าลูกเป็น “สมาธิสั้น”
เตรียมตัวเป็นแม่
CAR SEAT กับเด็กแต่ละช่วงอายุ
ข้อมูลทางแพทย์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save