fbpx

โรคคาวาซากิ โรคร้ายในเด็กเล็กที่พ่อแม่ต้องระวัง

Writer : nunzmoko
: 18 มีนาคม 2562

“โรคคาวาซากิ” เป็นโรคที่พบในเด็กเล็ก ตั้งแต่อายุเป็นเดือนๆ ไปจนถึง 2 ขวบ หรือมากสุดไม่เกิน 5 ขวบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบเฉียบพลันของหลอดเลือดแดง เกิดการแทรกซ้อนของหลอดเลือดหัวใจโป่งพอง ตามด้วยการอุดตัน และนำไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจตาย หากไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้คนไข้เสียชีวิตได้ จึงเป็นโรคที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังเป็นพิเศษนั่นเอง

สาเหตุของโรค

1. การติดเชื้อ ในอากาศบางชนิด เป็นตัวชักนำให้เกิดโรค ซึ่งเชื้อตัวนี้อาจจะเป็นเชื้อเฉพาะที่ยังค้นไม่พบ หรือเป็นเชื้อที่มีอยู่ในบรรยากาศทั่วๆ ไปก็ได้ เป็นเพียงตัวการเริ่มต้นที่ทำให้เด็กป่วยเท่านั้นเอง

2. ภูมิต้านทานของเด็ก ในเด็กเล็ก การตอบสนองเรื่องภูมิต้านทานของเขายังไม่ลงตัว หากมีการติดเชื้อมากระตุ้น ร่างกายก็จะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ซึ่งบางครั้งก็สร้างมามากเกินไป จนทำให้ย้อนมาทำร้ายตัวเอง

3. พันธุกรรม ร่างกายของเด็กคนนั้น มีความพร้อมที่จะเป็นโรคนี้โดยพันธุกรรม โดยเฉพาะเด็กชาวญี่ปุ่น มีความพร้อมที่จะเป็นโรคนี้มากที่สุด ในเด็ก 100,000 คน มีโอกาสจะเป็นโรคนี้สูงถึง 265 คน แต่สำหรับในประเทศไทย มีโอกาสจะเป็นเพียง 15 คนเท่านั้น

อาการของโรค

1. เด็กจะมีไข้สูงแบบเฉียบพลัน จะไม่ใช่ค่อยๆ สูงขึ้น ซึ่งไข้จะสูงมากถึง 39-40 องศาเซลเซียส และมีไข้มาแล้วอย่างน้อย 5 วัน

2. ตาแดง เยื่อบุตาขาวทั้งสองข้างจะแดง ไม่แฉะ ไม่มีขี้ตา เป็นหลังมีไข้ประมาณ 1-2 วัน และเป็นอยู่นานประมาณ 1-2 สัปดาห์

3. มีการเปลี่ยนแปลงของริมฝีปากและในช่องปาก คือ ริมฝีปากแห้ง แดงแตก ลิ้นเป็นตุ่มนูนและแดงเหมือนผิวสตรอว์เบอร์รี่ (Strawbery tongue) โดยจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ค่ะ

4. การเปลี่ยนแปลงของมือและเท้า ในระยะแรกจะพบฝ่ามือ ฝ่าเท้าแดงหรือบวม ในระยะหลังประมาณวันที่ 12 ของโรค อาจพบการลอกของผิวหนังซึ่งจะเริ่มต้นที่บริเวณปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า และสามารถลามไปที่ฝ่ามือฝ่าเท้า บางรายอาจเล็บหลุดได้ บางราย 1-2 เดือนจะมีรอยขวางที่เล็บค่ะ

5. มีผื่นขึ้นตามร่างกาย มักเกิดหลังมีไข้ 1-2 วัน ซึ่งมีได้หลายแบบ เช่น เป็นจุดแดงๆ เล็กๆ ทั่วตัว หรือเป็นผื่นแดงๆ เล็กๆ เหมือนหัดก็ได้ บางคนเป็นผื่นนูนใหญ่ๆ คล้ายลมพิษ

6. ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโต ส่วนใหญ่จะโตข้างเดียว มีขนาดใหญ่พอสมควรคือมากกว่า 1.5 ซม. อาจจะมีอาการแดงของผิวหนังบริเวณที่ต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย พบประมาณร้อยละ 50-70 ของผู้ป่วย

การรักษาโรค

1. ให้สารภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า “Intravenous immunoglobulin, IVIG”  ซึ่งสกัดมาจากน้ำเหลืองของผู้ใหญ่ที่มีความแข็งแรง ยาตัวนี้จะช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนโป่งพอง รวมทั้งรักษาให้อาการทั้งหมดดีขึ้นจนหาย

2. ให้ยาแอสไพรินขนาดสูง ขณะที่นอนโรงพยาบาล เพื่อลดการอักเสบ ส่วนตอนกลับบ้านจะให้กินในขนาดต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดอุดตันหลอดเลือดหัวใจได้อีก ทั้งนี้จะต้องกินยาแอสไพรินต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ จึงจะได้ผลการรักษาที่ดี

แม้ว่าโรคนี้จะพบไม่บ่อยนักในประเทศไทย แต่ด้วยสภาวะอากาศของบ้านเราที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก ทำให้เด็กๆ ไม่สบายกันได้ง่าย หากพบว่าลูกหลานของท่านมีอาการของโรคคาวาซากิ ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษาทันที

ที่มา :

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



5 เคล็ดลับทำให้ลูกชอบกินผัก
เด็กอายุ 2-5 ขวบ
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save