fbpx

ทำไมคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ ถึงห้ามอยู่ใกล้แมวเหมียว

Writer : Jicko
: 21 มกราคม 2565

เรียกได้ว่าเจ้าแมวเหมียวก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่มนุษย์อย่างเรานิยมนำมาเลี้ยงหรือดูแล เพราะมันเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยอยู่ข้างเราในเวลาที่เราเหงา ด้วยนิสัยที่ขี้อ้อนสุดๆ ของมันนั่นเอง แต่เมื่อถึงเวลาที่เรามีลูกน้อยในช่วงตั้งครรภ์ ก็มีหลายๆ ข้อมูลเลยค่ะที่บอกว่าห้ามเลี้ยงแมวเด็ดขาด เพราะจะทำให้มีโรคบางอย่างติดเข้าสู่คุณแม่และลูกในครรภ์ได้

เพื่อไขข้อข้องใจว่าจริงๆ แล้วคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นสามารถเลี้ยงเจ้าแมวได้หรือเปล่า เราจำเป็นต้องทิ้งแมวเหมียวไหม วันนี้เราจะพาไปดูข้อเท็จจริงพร้อมๆ กันเลยค่ะ

ข้อดีของการเลี้ยงแมวขณะตั้งครรภ์

  • แม่ๆ ผ่อนคลายและลดความวิตกกังวล
  • เป็นเพื่อนคลายเหงา ส่งผลต่ออารมณ์ของแม่และลูกในครรภ์
  • การเล่นกับสัตว์เลี้ยงเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

 

ทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ถึงห้ามเลี้ยงแมว

เพราะในลำไส้ของแมวจะมีเชื้อโรคหรือพยาธิที่ทำให้เกิดโรค “ท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) ” หรือที่เราเรียกๆ กันว่า โรคขี้แมว โดยเจ้าโรคนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่ได้หากไปสัมผัสกับขี้เกียจแมว และเชื้อโรคนี้ก็จะเข้าสู่ร่างกายของแม่และส่งผ่านไปยังลูกในครรภ์ได้ด้วย

 

คุณแม่มีโอกาสติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน

  • อันตรายที่สุดคือการติดเชื้อในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หากมีอาการรุนแรง อาจทำให้ลูกเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้
  • 60% ไม่พบอาการผิดปกติในเด็ก
  • 10% จะมีโอกาสเสียชีวิต
  • 30% จะมีอาการรุนแรงต่อเด็ก

นอกจากนี้ยังพบว่า ทารกที่ติดเชื้อ หลังคลอดแล้ว 6-7 เดือน อาจจะตาบอด ปัญญาอ่อน มีปัญหาด้านการเรียนรู้ แต่ในบางเคสก็ไม่พบอาการรุนแรง หรือ ทารกบางคนแม้ได้รับเชื้อก็ไม่มีอาการผิดปกตินั่นเอง

อาการ

กรณีไม่รุนแรง

  • อาการคล้ายไข้หวัด
  • ปวดตามกล้ามเนื้อ 2-3 วัน แล้วค่อยๆ หาย

กรณีอาการุนแรง

  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง (ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด)
  • ร่างกายด้านหนึ่งอ่อนแรง ชัก
  • มีปัญหาด้านการมองเห็น​ ตาพร่ามัว
  • มีปัญหาด้านการพูด
  • มีปัญหาด้านการเดิน

 

ถ้ามีแมวต้องจัดการแมวอย่างไร โดยไม่ทิ้งน้องแมว

  • ควรเลี้ยงแมวในระบบปิด งดแมวสัมผัสกับพื้นดินหรือสิ่งปนเปื้อนภายนอก
  • ไม่ให้แมวกินเนื้อที่ปรุงไม่สุก
  • หลีกเลี่ยงการให้แมวสัมผัสหรือล่าเหยื่อตามธรรมชาติ เช่น นก หนู เป็นต้น
  • ควรนำแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจแอนตีบอดีเชื้อโรคในขี้แมว เพื่อคัดกรองเบื้องต้น

 

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรปฏิบัติอย่าไร

  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำไม่สะอาด
  • ใส่ถุงมือทุกครั้งที่สัมผัสดินหรือทรายแมว
  • ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร
  • ปิดกระบะทรายแมวที่ทิ้ง ไว้นอกบ้านเสมอ
  • เปลี่ยนกระบะทรายแมวทุกวัน
  • ไม่รับแมวจรมาใหม่ขณะตั้งครรภ์
  • กำหนดพื้นที่เลี้ยงแมวให้ชัดเจน ไม่นำแมวมานอนด้วย
  • ทำความสะอาดของใช้แมว เช่น กรง ชามอาหาร อยู่เสมอ

 

ข้อควรรู้

  • โรคนี้ไม่ได้เกิดกับคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน
  • หากแม่ติดเชื้อโรคขี้เกียจแมว เชื้อจะผ่านรกไปยังทารกและทำให้เกิดโรคขี้เกียจแมวแต่กำเนิดได้
  • หากแม่ได้รับเชื้อโรคขี้เกียจแมวมาก่อนการตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีแอนติบอดี จึงทำให้ไม่เสี่ยงต่อการส่งต่อไปยังทารก

 

อ้างอิง : กรุงเทพธุรกิจ, โรงพยาบาลสมิติเวช, POST TODAY

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save