fbpx

เคล็ดลับฝึกลูกให้มีสมาธิ

Writer : nunzmoko
: 14 สิงหาคม 2560

สมาธิ คือ จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ เมื่อเด็กมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะทำให้เกิดการเรียนรู้และการเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ทำให้เรียนหนังสือได้ดี ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจมีความกังวล กลัวว่าลูกจะไม่มีสมาธิในการเรียน และทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน วันนี้มีเคล็ดลับที่ช่วยฝึกสมาธิให้กับลูกน้อยมาฝากกันค่ะ

1. จัดสิ่งแวดล้อม

จัดหามุมสงบที่ให้ลูกสามารถทำการบ้าน อ่านหนังสือได้โดยไม่มีเสียงดังรบกวนอยู่ใกล้ๆ ให้เสียสมาธิ เช่น การจัดบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่วุ่นวาย ไม่มีเสียงอึกทึก เสียงทีวี เสียงเกม หรือสิ่งที่ชวนให้เสียสมาธิอยู่ใกล้ๆ เพราะเด็กจะไวต่อสิ่งเร้ามาก

2. สนับสนุนสิ่งที่เด็กชอบ

หากพ่อแม่สังเกตว่าลูกเริ่มสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น  เรื่องแมลง เรื่องไดโนเสาร์ พ่อแม่ควรกระตุ้นความอยากเรียนรู้ของเด็กมากขึ้น ด้วยการตั้งคำถามและข้อสงสัย แล้วท้าทายให้เด็กแสวงหาคำตอบ เช่น ค้นคว้าจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต พาไปศึกษารายละเอียดตามพิพิทธภัณฑ์หรือแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้สมาธิจดจ่อในการศึกษาเรื่องที่สนใจยาวนานขึ้นได้

3. ทำตารางคนเก่ง

การฝึกวินัย และความเป็นระเบียบในการดำเนินชีวิตให้กับลูก โดยการจัดทำตารางกิจวัตรในบ้านตั้งแต่ตื่นถึงเข้านอน ว่าเวลาไหนควรทำอะไรบ้าง จะช่วยให้เด็กทำอะไรเป็นระบบ ขั้นตอน และทำอะไรอย่างไม่เร่งรีบเกินไป ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างสมาธิ แต่ตารางเวลานี้อาจมีความยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ เพื่อให้ลูกไม่เคร่งเครียดจนเกินไปค่ะ

4. ของเล่นเสริมสมาธิ

ของเล่นที่ดีช่วยเสริมสมาธิให้กับลูกรักได้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรเลือกของเล่นให้เหมาะกับวัยและเป็นของเล่นที่ช่วยให้ลูกจดจ่อให้การเล่นได้นาน ยกตัวอย่างเช่น ตัวต่อจิ๊กซอว์ เลโก้ ร้อยเชือก บล็อกไม้ เป็นต้น และควรฝึกให้ลูกเล่นของเล่นทีละอย่างเพื่อให้ลูกสนใจเล่นของเล่นชิ้นนั้นอย่างจริงจัง และทำให้ลูกมีสมาธิกับการเล่นได้นานขึ้น

5. ฟังเพลงคลาสสิค

มีผลการวิจัยยืนยันว่าเพลงคลาสสิคหรือเพลงบรรเลงที่มีจังหวะช้าๆ สม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายมีสภาวะที่ผ่อนคลาย เพิ่มความสามารถทางด้านความจำและการเรียนรู้ได้รวดเร็ว ก่อนถึงเวลาทำการบ้าน แทนที่จะเปิดทีวี หรือเล่นเกม อาจเปิดเพลงที่ฟังสบายๆ เพื่อช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิ ทำให้เด็กมีใจจดจ่อกับการเรียนรู้หรือการทำการบ้านค่ะ

6. ส่งเสริมศิลปะ

ศิลปะและการประดิษฐ์ต่างๆ เช่น การวาดรูป พับกระดาษ งานปั้น งานฝีมือต่างๆ ฯลฯ ตามความสนใจและความถนัดของเด็กซึ่งช่วยให้เด็กเพลิดเพลิน มีความสุขในสิ่งที่ทำ และสามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้นาน

7. อ่านนิทานก่อนนอน

ขณะที่เด็กฟังนิทาน จะได้ฝึกการใช้ประสาทสัมผัส ทั้งประสาททางหูในการฟัง และปากในการพูดตาม ซึ่งเป็นการฝึกให้ลูกมีสมาธิจดจ่อในเรื่องราวที่พ่อแม่กำลังเล่า นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่อาจตั้งคำถามให้ลูกตอบเป็นระยะ เพื่อฝึกทักษะการคิดและทำให้ลูกตั้งใจฟังมากขึ้น

ที่มา – สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save