fbpx

ปี 2564 ลูกต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้างนะ ? อัปเดตวัคซีนที่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 12 ปีต้องฉีด

Writer : Lalimay
: 19 มกราคม 2564

วัคซีนเป็นสิ่งที่เด็กทุกคนจำเป็นต้องไปฉีด ยิ่งในเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ จำเป็นที่จะต้องไปฉีดให้ครบตามที่กำหนด เพราะมีวัคซีนที่จำเป็นหลายตัวมากๆ ค่ะ หากฉีดไม่ครบก็อาจจะทำให้เกิดโรคที่ร้ายแรงถึงชีวิตได้เลย ซึ่งวัคซีนที่ลูกต้องฉีดนั้นมีเยอะมากๆๆๆ วันนี้เราจึงอัปเดตวัคซีนในปี 2564 ที่เด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 12 ขวบต้องฉีดมาฝากค่ะ จะได้ดูกันง่ายๆ ตามช่วงอายุเลย

ซึ่งในปี 2564 มีอัปเดตเพิ่มมาตรงที่ลูกจะต้องฉีดวัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR2) ครั้งที่สองเร็วขึ้น คือฉีดตอนอายุ 18 เดือน เพื่อป้องกันการระบาดของโรคหัดค่ะ

สำหรับในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่คงไม่อยากพาลูกออกจากบ้าน จึงอาจมีคำถามว่าสามารถเลื่อนฉีดวัคซีนออกไปได้ไหม คำตอบคือ สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบควรต้องไปฉีดนะคะ ก็ต้องพยายามดูแลความปลอดภัยนิดนึง ไม่แนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัย แต่ให้อุ้มลูกเข้าหาตัว ให้ใบหน้าของลูกซุกอยู่ตรงอกเรา แล้วใช้ผ้าคลุมไว้ หรือให้ลูกนั่งรถเข็นที่มีผ้าคลุมก็จะช่วยได้ในระดับนึงค่ะ ส่วนเด็กที่อายุเกิน 1 ขวบ สามารถเลื่อนฉีดวัคซีนได้ไม่เกิน 1 เดือนค่า

วัคซีนจำเป็นและวัคซีนเสริมแตกต่างกันยังไง

  • วัคซีนจำเป็น คือ วัคซีนที่เด็กทุกคนควรจะได้รับตามคำแนะนำของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปฉีดได้ฟรีที่โรงพยาบาลรัฐ
  • วัคซีนเสริม คือ วัคซีนที่มีประสิทธิภาพดี มีประโยชน์ในการป้องกันโรค แต่ไม่ได้อยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนใหญ่จะป้องกันหลายโรคในเข็มเดียว จะให้ลูกฉีดหรือไม่ฉีดก็ได้ เพราะมีราคาค่อนข้างสูง

แรกเกิด

วัคซีนจำเป็น

  • ป้องกันวัณโรค (BCG)
  • ตับอักเสบบี (HBV) ต้องได้รับอย่างน้อย 3 ครั้ง อาจฉีดเข็มที่ 2 ตอนอายุ 1 เดือน

2 เดือน

วัคซีนจำเป็น

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ (DTwP-HB-Hib-1)
  • โปลิโอชนิดกิน (OPV1)
  • โรต้าชนิดกิน (ROTA1) เชื้อที่ทำให้เกิดท้องเสียในเด็ก

วัคซีนเสริม

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์-ตับอักเสบบี-โปลิโอชนิดฉีด-ฮิบ (DTaP-HB-IPV-HIB1)
  • นิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV1) ป้องกันโรคปอดบวมและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

4 เดือน

วัคซีนจำเป็น

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ (DTwP-HB-Hib-2)
  • โปลิโอชนิดกิน (OPV2)
  • โรต้าชนิดกิน (ROTA2) เชื้อที่ทำให้เกิดท้องเสียในเด็ก

วัคซีนเสริม

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์-ตับอักเสบบี-โปลิโอชนิดฉีด-ฮิบ (DTaP-HB-IPV-HIB2)
  • นิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV2) ป้องกันโรคปอดบวมและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

6 เดือน

วัคซีนจำเป็น

  • ตับอักเสบบี (HBV) (ครั้งที่ 3)
  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ (DTwP-HB-Hib-3)
  • โปลิโอชนิดกิน (OPV3)
  • โรต้าชนิดกิน (ROTA3) เชื้อที่ทำให้เกิดท้องเสียในเด็ก
  • ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ในครั้งแรกฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน จากนั้นฉีดปีละครั้ง

วัคซีนเสริม

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์-ตับอักเสบบี-โปลิโอชนิดฉีด-ฮิบ (DTaP-HB-IPV-HIB3)
  • นิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV3) ป้องกันโรคปอดบวมและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อไม่มีชีวิต (Inactivated JE) อีก 4 สัปดาห์ฉีดเข็มที่ 2 และอีก 1 ปี ฉีดเข็มที่ 3

9 – 15 เดือน

วัคซีนจำเป็น

  • หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR1) ฉีดครั้งแรก
  • ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อมีชีวิต (Live JE1) ฉีดครั้งแรก
  • ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) (ถ้ายังไม่ฉีดตอน 6 เดือน)

วัคซีนเสริม

  • ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อไม่มีชีวิต (Inactivated JE) (ถ้ายังไม่ได้ฉีดตอน 6 เดือน)
  • นิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV4) ป้องกันโรคปอดบวมและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (ฉีดกระตุ้นตอน 12-15 เดือน)
  • ตับอักเสบเอชนิดเชื้อไม่มีชีวิต (HAV) ฉีด 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน (อายุ 12 เดือนขึ้นไป)
  • อีสุกอีใส (VZV1) หรือวัคซีนรวมหัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส (MMRV1) ฉีดเข็มแรกอายุ 12 เดือนขึ้นไป

18 เดือน

วัคซีนจำเป็น

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดทั้งเซลล์ (DTwP) ฉีดกระตุ้นครั้งที่ 1
  • โปลิโอชนิดกิน (OPV4) กินกระตุ้นครั้งที่ 1
  • หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR2) ฉีดครั้งที่สอง
  • ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

วัคซีนเสริม

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์-โปลิโอชนิดฉีด-ฮิบ (DTaP-IPV-HIB4) ฉีดกระตุ้นครั้งที่ 1
  • ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อไม่มีชีวิต (Inactivated JE) (ถ้ายังไม่ได้ฉีดตอน 6 เดือน และ 9-15 เดือน)
  • อีสุกอีใส (VZV1) หรือวัคซีนรวมหัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส (MMRV1) ถ้ายังไม่ได้ฉีดเข็มแรกต้องฉีดภายในเดือนนี้
  • ตับอักเสบเอชนิดเชื้อมีชีวิต (HAV) ฉีดเข็มเดียว ทดแทนวัคซีนตับอักเสบเอชนิดเชื้อไม่มีชีวิตได้

2 – 2.5 ขวบ

วัคซีนจำเป็น

  • ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อมีชีวิต (Live JE2) ฉีดครั้งที่สอง
  • ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

วัคซีนเสริม

  • ตับอักเสบเอ (HAV) ถ้ายังไม่ได้ฉีดเลย
  • อีสุกอีใส (VZV2) หรือวัคซีนรวมหัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส (MMRV2) เข็มที่ 2

4-6 ขวบ

วัคซีนจำเป็น

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดทั้งเซลล์ (DTwP) ฉีดกระตุ้นครั้งที่ 2
  • โปลิโอชนิดกิน (OPV5) กินกระตุ้นครั้งที่ 2

วัคซีนเสริม

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์-โปลิโอชนิดฉีด (DTaP-IPV / Tdap-IPV ) ฉีดกระตุ้นครั้งที่ 2
  • อีสุกอีใส (VZV2) หรือวัคซีนรวมหัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส (MMRV2) (ต้องฉีดไม่เกิน 4 ขวบ ถ้ายังไม่ได้ฉีดเข็มที่ 2 ตอน 2-2.5 ขวบ)
  • ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) (ฉีดทุกปี ปีละครั้ง)

11-12 ปี

วัคซีนจำเป็น

  • คอตีบ-บาดทะยัก (Td) ฉีดกระตุ้น และฉีดทุกๆ 10 ปี
  • ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) (2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน ฉีดในเด็กผู้หญิงตอนป.5)

วัคซีนเสริม

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์ (TdaP หรือ Tdap) และฉีด Tdap ทุก 10 ปี
  • ไข้เลือดออก (DEN) 3 เข็ม ห่าง 6 และ 12 เดือน (ถ้าเคยติดเชื้อมาก่อน)
  • ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) (ฉีดทุกปี ปีละครั้ง)

9 และ 15 ปี

วัคซีนเสริม

  • ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) (2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน)
  • ไข้เลือดออก (DEN) 3 เข็ม ห่าง 6 และ 12 เดือน (ถ้าเคยติดเชื้อมาก่อน)

 

สรุปจำนวนครั้งในการฉีดวัคซีน

วัคซีนจำเป็น

  • ป้องกันวัณโรค (BCG) : 1 ครั้ง
  • ตับอักเสบบี (HBV) : 3 ครั้ง
  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดทั้งเซลล์-ตับอักเสบบี (DTwP-HB) : 5 ครั้ง
  • โปลิโอชนิดกิน (OPV) : 5 ครั้ง
  • โรต้า (ROTA) : 3 ครั้ง
  • หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR) : 2 ครั้ง
  • ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อเป็น (Live JE) : 2 ครั้ง
  • ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) : 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน ในช่วงอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี จากนั้นฉีดปีละเข็ม
  • ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) : 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน

 

วัคซีนเสริม

  • คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์-ตับอักเสบบี-โปลิโอชนิดฉีด-ฮิบ (DTaP-HB-IPV-HIB1) : 5 ครั้ง หลังอายุ 11-12 ปี ฉีดซ้ำทุก 10 ปี
  • นิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV) : 4 ครั้ง
  • ไข้สมองอักเสบเจอีเชื้อตาย (Inactivated JE) : 3 ครั้ง 2 เข็มแรกห่างกัน 4 สัปดาห์ ส่วนเข็มที่ 3 ห่าง 1 ปี
  • ตับอักเสบเอ (HAV) ชนิดเชื้อไม่มีชีวิต : 2 ครั้ง / เชื้อมีชีวิต : 1 ครั้ง
  • อีสุกอีใส (VZV) หรือวัคซีนรวมหัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส (MMRV) : 2 ครั้ง
  • ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) : 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน ในช่วงอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี จากนั้นฉีดปีละเข็ม
  • ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) : 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน
  • ไข้เลือดออก (DEN) : 3 ครั้ง ห่าง 6 และ 12 เดือน (ถ้าเคยติดเชื้อมาก่อน)
  • พิษสุนัขบ้า (Rabies) : 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 7 วัน (ถ้ามีความเสี่ยงที่จะโดนหมาหรือแมวกัด/ข่วน)

 

ข้อมูลอ้างอิงจาก

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



CAR SEAT กับเด็กแต่ละช่วงอายุ
ข้อมูลทางแพทย์
นวด นวด นวด มานวดลูกน้อยกันเถิด
เด็กวัยแรกเกิด
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save