fbpx

มาทำความรู้จัก “ฝีดาษลิงในเด็ก” โรคติดต่อจากสัตว์สู่คนกันเถอะ

Writer : chonrapraew
: 7 มิถุนายน 2565

ในช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คน คงได้ยินข่าวเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิงหรืออีกชื่อคือไข้ทรพิษลิง แต่อย่าพึ่งกังวลใจไปค่ะ เพราะโรคนี้ยังไม่ได้มีการแพร่ระบาดหรือมีผู้ติดเชื้อในไทย จะมีแค่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวน 12 คน จากการอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับผู้ติดเชื้อที่เข้ามาเปลี่ยนเครื่องในสนามบินที่ไทย แต่ปัจจุบันผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงยังไม่ได้มีอาการอะไรค่ะ 

วันนี้ Parents One จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทำความรู้จักกับ “โรคฝีดาษลิง” กันค่ะ

โรคฝีดาษลิงในเด็ก

ในเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 1 ขวบ ถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคฝีดาษลิง เพราะอาจมีอาการแทรกซ้อนได้ในบางราย ซึ่งอัตราการเสียชีวิตจะอยู่ที่ 3.6%

คุณพ่อคุณแม่อาจเคยได้ยินคำว่า “คนแก่รอดเด็กเป็น” โดยคำนี้เกิดจากการที่ในปี 2523 องค์กรอนามัยโลกได้มีประกาศให้โรคฝีดาษหมดไปจากโลก การปลูกฝีดาษจึงหมดไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้เด็กที่เกิดหลังจากนั้นจึงไม่ได้รับการปลูกฝีดาษ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปจะได้รับการปลูกฝีดาษแล้ว ทำให้จะมีภูมิป้องกันถึง 85% กันเลยทีเดียวค่ะ

How to วิธีสังเกตโรคฝีดาษแบบง่ายๆ รู้ก่อน รักษาได้ทัน

อาการในระยะแรกจะเริ่มตั้งแต่ 0-5 วัน โดยอาการเบื้องต้นที่พบ นั่นคือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ ปวดหลัง และมีต่อมน้ำเหลืองโต หรืออาจมีอาการเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเสีย หรืออาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม เป็นต้น 

ส่วนอาการในระยะที่สองจะเริ่มมีการออกตุ่ม หรือผื่น ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้น 3 วันหลังจากมีไข้ค่ะ 

ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตลักษณะของผื่นหรือตุ่มว่าเป็นฝีดาษลิงหรือไม่? โดยดูได้จาก ผื่นหรือตุ่มนี้จะมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่ชัดเจน

โดยจะเริ่มจากเป็นรอยนูนแดงก่อน หลังจากนั้นจึงเริ่มเป็นตุ่มนูนขึ้นมา แล้วค่อยเริ่มเป็นตุ่มหนองหรือเป็นตุ่มน้ำใสตามมา แล้วจึงค่อยๆ ตกสะเก็ดไป ซึ่งระยะเวลาในการตกสะเก็ดจะใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ แล้วจึงค่อยๆ หายไป ซึ่งส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่ในบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือในเด็กเล็กมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปอดอักเสบหรือเสียชีวิตได้ค่ะ

 

 โรคฝีดาษลิง แพร่เชื้อได้หรือไม่?

ในโรคฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เริ่มมีไข้ แต่ตอนที่สามารถแพร่ได้มากที่สุด นั่นก็คือ ตอนที่มีตุ่มผื่น ซึ่งเราสามารถติดได้จากสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย รวมถึงละอองจากการหายใจในอากาศ 

โดยลักษณะจะใกล้เคียงกับเชื้อโควิดเลยค่ะ แต่ไม่สามารถแพร่เชื้อได้เร็วเหมือนกับโรคโควิด-19 หรอกนะ ซึ่งเชื้อฝีดาษลิงจะมีระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 6-13 วัน แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ได้ไปพบเจอ หรือเป็นกลุ่มเสี่ยงจากคนที่เป็นโรคฝีดาษลิงก็จะต้องทำการกักตัวอยู่ถึง 21 วัน ด้วยกันค่ะ 

เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะไปไหนต้องดูแล และเตรียมความพร้อมของร่างกายให้ดีขึ้นด้วยนะคะ จะได้ไม่ป่วยเป็นโรคง่ายนั่นเองค่ะ

 

วัคซีนและการป้องกัน

ในปัจจุบันนี้ มีวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ โดยวัคซีนนี้จะต้องฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 28 วันด้วยกันค่ะ แต่จะสามารถฉีดได้เฉพาะคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น ทำให้ยังไม่มีวัคซีนสำหรับเด็กเล็กนั่นเองค่ะ

ดังนั้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ เพื่อเป็นการป้องกันลูกน้อยของเรา นั่นก็คือ การหมั่นให้เด็กๆ ล้างมือบ่อยๆ และสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา ก็จะสามารถช่วยป้องกันจากติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่งและละอองต่างๆ ที่อยู่ในอากาศได้ค่ะ นอกจากนี้ อาหารที่รับประทานก็ควรเป็นอาหารที่ผ่านการปรุงสุกมาเรียบร้อยแล้วนะคะ

รวมไปถึงควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กๆ ไปสวนสัตว์ และสัมผัสกับสัตว์ป่า เช่น ลิง และสัตว์จำพวกสัตว์ฟันแทะ และหากเป็นไปได้ช่วงนี้ควรหลีกเลี่ยงการต้องไปพบเจอกับญาติ หรือบุคคลที่มาจากประเทศที่มีผู้ติดเชื้อ ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ไนจีเรีย และโปรตุเกส เป็นต้นค่ะ ถ้าครอบครัวเราทำได้จะถือว่าสามารถป้องกันลูกๆ ของเราในเบื้องต้นไม่ให้ติดเชื้อฝีดาษลิงได้อีกช่องทางนึงเลยค่า

 

ถ้าติดเชื้อแล้ว…มีวิธีการรักษาอย่างไร?

การรักษาจะใกล้เคียงกับโรคโควิด 19 ที่เราคุ้นเคยกันเลยค่ะ นั่นก็คือ การรักษาตามอาการ แต่ในรายที่มีอาการหนักก็จะมีการให้ยาต้านไวรัสควบคู่ไปด้วยกันค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นควรที่จะปรึกษาแพทย์และอยู่ในการดูแลของแพทย์

 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ โรคฝีดาษลิงที่เรานำมาให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกัน ถึงแม้จะเป็นโรคที่น่ากลัว แต่ก็ไม่ได้แพร่เชื้อเร็วเหมือนกับโรคโควิด-19 น้า แต่เราก็ห้ามประมาทเด็ดขาด เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นล้างมือลูกบ่อยๆ และห้ามไม่ให้เด็กๆหยิบสิ่งของหรือสิ่งอื่นๆ ใดเข้าปากกันด้วยนะค้าา

แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวหรือกังวลกับโรคฝีดาษลิงกันแล้วค่ะ เห็นไหมล่ะว่าโรคนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเรารู้จักป้องกันตัวให้ปลอดภัยอยู่เสมอนั่นเอง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก TNN Online Thairath Online โรงพยาบาลบางกอก
Writer Profile : chonrapraew

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



CAR SEAT กับเด็กแต่ละช่วงอายุ
ข้อมูลทางแพทย์
นวด นวด นวด มานวดลูกน้อยกันเถิด
เด็กวัยแรกเกิด
Update
ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์
เคยกลับบ้านมาแล้วกรี๊ดลั่นบ้านเพราะเจ้าตัวแสบไปวิ่งเล่นเลอะเทอะกันไหมคะ ? หรือแต่งตัวลูกอย่างดีไปทานข้าวนอกบ้าน แต่คุณลูกก็ทำซอสหกใส่ ไอติมหล่นไปเป็นก้อน เละทั้งตัว วันนี้ ParentsOne มีเสื้อเด็กที่เจ๋งมากๆ จาก GQ : the good day lab™ มาลองรีวิวให้ได้ชมกันค่ะ 🛒 ช้อปเลยที่ -> https://gqsize.link/bZT7Sx แกะกล่อง GQ : the good day lab™ เสื้อเด็ก ฟีเจอร์เพียบ คุณภาพ GQ ขึ้นชื่อว่า GQ ก็มั่นใจได้เรื่องคุณภาพค่ะ ผ้านุ่ม เบาบาง เหมาะกับอากาศเมืองไทย ใส่วิ่งสบายๆ ที่แปลกตาคือเป็นเสื้อที่ไม่มีป้ายแท็กค่ะ ทั้งด้านหลังคอเสื้อ หรือข้างใน ไม่ต้องห่วงว่าจะเคืองหรือคันเลย กระดุมแข็งแรงเอามากๆ ใช้แรงผู้ใหญ่ดึงแรงๆ ก็ไม่มีปัญหาเลย ไฮไลท์สำคัญที่คุณแม่แทบกรี๊ด คือเป็นไม่เปื้อนค่าาาา เทน้ำ เทนมใส่เสื้อ ไม่เปียกเลย สะบัดสองที หายปกติ ซึ่งถ้าใครเคยเห็นโฆษณา GQ ที่เสื้อเชิ้ตขาวไปทำงานคุณพ่อ โดนกาแฟหกใส่ แต่ผ้าไม่เปื้อนเลย เทคโนโลยีผ้าสะท้อนน้ำ ตอนนี้มาอยู่ในเสื้อเด็กแล้ววววว ทีมงานทดสอบเทน้ำสีผสมอาหาร นม หรือแม้แต่ซอสมะเขือเทศลงบนเสื้อ ก็ไม่เปื้อนค่ะ ไม่น่าเชื่อมากๆ ข้อดีที่สุดของผ้าแบบนี้ คือทำให้ชีวิตคุณแม่สบายขึ้นมาก พาลูกไปเที่ยว วิ่งเล่นสนามหญ้า พาไปทานก๋วยเตี๋ยว หรือให้ทานอะไร ก็ไม่ต้องกลัวเสื้อสวยๆ เลอะ แถมประหยัดเวลาซักผ้าด้วย ไม่ต้องมาคอยแช่ผ้าให้คราบมันออกแบบสมัยก่อน สำหรับเสื้อเด็ก the good day lab™…
8 ธันวาคม 2566

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save