fbpx

ระวัง! ถึงหนูจะเป็นเด็กแต่ก็เป็นเบาหวานได้นะ

Writer : OttChan
: 10 พฤศจิกายน 2563

เราชอบคิดกันเสมอว่าโรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับคนที่มีพฤติกรรมการกินหวานจนอ้วนหรือคนที่อายุมากแล้วทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่างเบาหวานขึ้นได้ แต่รู้ไหมคะว่าในความจริงนั้น โรคเบาหวานสามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กเล็กๆ และวัยรุ่นได้ง่ายและมีมากกว่าที่เราคิด! ซึ่งเบาหวานในเด็กนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมตอนนี้ประเทศไทยถึงได้ขึ้นชื่อว่าเด็กไทยอาจมีแนวโน้มจะเป็นเบาหวานกันได้ง่ายกว่าเด็กในประเทศอื่น มาดูข้อมูลไปด้วยกันเลยค่ะ

เบาหวานในเด็กมี 2 แบบ

แบบที่ 1

เกิดจากความผิดปกติของร่างกายมาตั้งแต่แรกเกิดซึ่งเกี่ยวกับระบบการทำงานของอวัยวะภายในซึ่งในปัจจุบันนั้น เด็กไทยส่วนมากหากเป็นเบาหวาน อาการที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายนั้นมีมากถึง 50-60% เลยทีเดียว

  • เป็นตั้งแต่ช่วงอายุ 1-2 ขวบ
  • เกิดจากการทำงานผิดพลาดของตับอ่อนในการผลิตอินซูลิน
  • เลือดเป็นกรด
แบบที่ 2

เกิดจากพฤติกรรมในการกินหรือใช้ชีวิตประจำวันของเด็กๆ ที่ไม่ได้ขยับตัว, หมดเวลาไปกับการอยู่กับหน้าจอทีวีหรือสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เกิดขึ้นได้ 30 % จากอาการเบาหวานในเด็ก โดยเหตุที่ทำให้เกิดโรคมีดังนี้

  • พฤติกรรมการกินที่กินแต่อาหาร fast food โดยไม่มีการขยับร่างกาย
  • กรรมพันธุ์โรคอ้วนที่เกิดเร็วขึ้นจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
  • คุณแม่เป็นเบาหวานในระหว่างที่ตั้งครรภ์

ข้อสังเกตว่าลูกของเราอาจเป็นเบาหวาน

ในบางครั้งอาการหลายๆ อย่างเราอาจจะเข้าใจว่า ลูกของเราไม่สบายหรืออ่อนแอเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ดังนั้นลองมาเช็คกันนะคะ ว่าเด็กๆ เข้าข่ายอาการที่จะเป็นเบาหวานหรือเปล่า ด้วยข้อสังเกตตั้ง 6 ข้อ หากมีมากเกิน 3 ข้อแล้วละก็ ก็อาจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจเป็นเบาหวานได้

  • กระหายน้ำตลอดเวลา
  • เป็นแผลแล้วหายช้า, หายยาก
  • ปัสสาวะบ่อยมากและมีบ้างที่ปัสสาวะราดเวลานอนทั้งที่สามารถควบคุมการปัสสาวะยามดึกได้แล้ว
  • น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
  • เหนื่อยง่าย, รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา
  • ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้เพราะสารคีโตน

หากลูกเป็นเบาหวานจะมีวิธีช่วยเหลืออย่างไร

แน่นอนว่าเมื่อมั่นใจแล้วว่าลูกหรือหลานของเราเป็นเบาหวาน เราก็ต้องเร่งหาทางช่วยเหลือหรือทำให้อาการเหล่านั้นทุเลาลงก่อนจะสายเกินแก้ ซึ่งการแก้นั้นสามารถทำได้ดังนี้ค่ะ

  • หากรู้ว่าเด็กๆ ในบ้านมีอาการว่าอาจจะเป็น ต้องรีบพาไปพบแพทย์
  • ต้องทำการฉีดอินซูลินตามคำแนะนำของคุณหมอ
  • ควบคุมการทานอาหารให้ได้สัดส่วน ผัก,ผลไม้ 2 ส่วน, โปรตีน 1 ส่วน, คาร์โบไฮเดรต 1 ส่วน
  • ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของน้ำตาล ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงต่อวัน
  • ดื่มน้ำให้มาก ได้วันละ 8 แก้วยิ่งดี
  • หมั่นตรวจสุขภาพและติดตามอาการเบาหวานของลูกอยู่เรื่อยๆ เพื่อปรับการรักษาไปตามอายุ

ที่มา : siphhospital , med.mahidol , thaihealthmgronline

Writer Profile : OttChan

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save