fbpx

ต้องทำอย่างไร เมื่อลูกน้อยเข้าโรงพยาบาล

Writer : parentsone
: 21 พฤศจิกายน 2561

เรื่องของการเจ็บป่วยย่อมเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกบ้านไม่อยากให้เกิดกับลูกน้อยของคุณเลยใช่ไหมคะ แต่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วจะต้องรับมืออย่างไร วันนี้เรามีเรื่องราวมาฝากกันค่ะ

1. หาสาเหตุของอาการป่วย

อาการเจ็บป่วยของลูกน้อยนั้น หากไม่ใช่การป่วยที่ต่อเนื่องจากปัญหาทางสุขภาพแบบเดิม ก็จะเป็นการเกิดแบบกะทันหัน แต่ไม่ได้หมายถึงการป่วยจากอุบัติเหตุนะคะ สำหรับอาการป่วยของลูกน้อยที่เจอมานั้น จะเกิดขึ้นแบบไม่ทราบมาก่อน คุณแม่ต้องนึกให้ดีว่า พาลูกน้อยไปทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง หรือกินอาหารที่มีความสุ่มเสี่ยงหรือไม่ เพื่อที่จะได้แก้ไขได้ตามอาการก่อนในขั้นแรก เช่น วันหยุดคุณอาจจะพาลูกไปเล่นบ้านบอล ซึ่งเราไม่มีทางทราบว่าบ้านบอลนั้นจะมีเชื้อโรคสะสมหรือไม่ หากผู้ใหญ่ในบ้านป้อนอาหารหรือให้กินขนมที่มีส่วนผสมกระตุ้นให้ลูกเกิดอาการแพ้โดยที่คุณแม่ไม่ทราบมาก่อน ก็อาจทำให้ลูกน้อยป่วยได้เช่นกันค่ะ ดังนั้นจึงต้องสังเกตและสอบถามจากคนรอบตัวด้วยนะคะ

2. บรรเทาอาการเบื้องต้น

เมื่อลูกน้อยเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา เช่น เกิดไข้ขึ้นสูง มีผื่นขึ้นตามตัว อาเจียนหรือท้องเสียรุนแรง หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น แน่นอนว่าลูกน้อยจะรู้สึกไม่สบายตัวและงอแง ดังนั้นคุณแม่ต้องรักษาอาการขั้นต้นให้ก่อน หากตัวร้อนก็เช็ดตัวตามหลักที่แพทย์แนะนำ คือเช็ดให้เร็วและย้อนรูขุมขนเพื่อให้ไข้ลดหรือแปะแผ่นคูลฟีเวอร์เมื่อลูกน้อยหลับ หากลูกมีผื่นแดงก็ลองทาครีมที่บรรเทาอาการคันมาใช้ทาบริเวณผื่น หากอาเจียนหรือมีท้องเสียรุนแรงก็อาจเป็นไปได้ว่าอาหารเป็นพิษ อาจให้จิบน้ำและยาที่ช่วยบรรเทาอาการก่อน หากไม่ดีขึ้นก็รีบไปพบแพทย์ทันที

3. ปลอบประโลมลูกอย่างใจเย็น

แน่นอนว่าเมื่อป่วยย่อมรู้สึกไม่สบายตัวอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเด็กน้อยที่ไม่สามารถบอกอาการของเขาได้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดและเศร้ามากขึ้นไปอีก จึงไม่แปลกที่ลูกน้อยจะร้องไห้หรือเกาะติดคุณแม่มากเป็นพิเศษ ดังนั้นคุณแม่ต้องใจเย็นๆ คอยโอ๋และปลอบลูกน้อยให้มาก รวมทั้งต้องระวังไม่ให้อารมณ์ตัวเองไปหงุดหงิดใส่ลูก ไม่อย่างนั้นจะยิ่งทำให้ลูกน้อยงอแงหนักเข้าไปอีก นอกจากนี้ หากคุณแม่กังวลก็ขอเพียงเก็บไว้ในใจ แอบระบายความกังวลกับคุณพ่อแบบไม่ให้ลูกทราบ เพราะถึงแม้เค้าจะไม่เข้าใจภาษาหรือคำพูดของคุณ แต่เด็กน้อยสัมผัสได้จากสีหน้าและน้ำเสียงที่คุณแสดงออกมา

4. อย่าทำให้เขารู้สึกเปลี่ยน

หากอาการของลูกน้อยของคุณไม่ดีขึ้น แพทย์อาจตัดสินใจให้ลูกน้อยต้องแอดมิทที่โรงพยาบาล สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำคือเตรียมตัวให้พร้อม และไม่ทำให้ลูกรู้สึกแปลกเมื่อต้องเปลี่ยนที่นอน เพราะการนอนโรงพยาบาลเป็นเรื่องที่ลูกน้อยต้องเจ็บตัวจากการรักษาอยู่แล้ว ทั้งกินยา เจาะเข็มน้ำเกลือ ใช้เครื่องดูดน้ำมูก ซึ่งแล้วแต่อาการที่เป็น นั่นจึงเป็นเหตุผลให้สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวของเขาสำคัญมาก อย่างน้อย คุณพ่อคุณแม่ควรมีตุ๊กตาสุดโปรด หนังสือนิทานที่ชอบอ่าน ของเล่นที่ชอบ พกติดตัวไว้เพื่อให้เขาได้กอดหรือรู้สึกอบอุ่น แม้ต้องเจอการรักษามากมาย

5. กอดหรือหอมลูกบ่อยๆ

เมื่อลูกน้อยต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลแม้จะแค่ 1-2 วัน ก็ต้องไม่ทำให้เขารู้สึกขาดและหวาดกลัวนะคะ การกอด หอม หรือสัมผัสตัวเขาบ่อยๆ จะช่วยคลายความกังวลและเปิดรับสิ่งที่ต้องเจอ เช่น หากต้องวัดไข้ผ่านปรอท หรือเครื่องวัดชีพจร ลูกน้อยอาจไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไรและหวาดกลัว สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำได้คือกอดปลอบประโลมเขา หรือสอนให้เขาทราบว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพื่อที่จะได้ลดความกังวล เพราะหากต้องนอนพักที่โรงพยาบาลจะต้องเจอเครื่องเหล่านี้หลายครั้งแน่นอน

เรื่องของการเจ็บป่วยอาจต้องให้แพทย์เป็นผู้รักษา แต่ความอบอุ่นทางจิตใจต้องให้คุณพ่อคุณแม่คอยดูแลนะคะ เป็นกำลังใจให้กับทุกครอบครัวค่ะ

Writer Profile : parentsone

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ป้อนข้าวลูกยังไงให้ทานได้เยอะ?
ข้อมูลทางแพทย์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save