fbpx

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสายตาเด็กที่แม่ๆ ต้องรู้

Writer : Jicko
: 20 กันยายน 2564

สุขภาพตาถือเป็นเรื่องหนึ่งที่แม่ๆ ต้องใส่ใจ เพราะด้วยพฤติกรรมต่างๆ ในปัจจุบันที่เป็นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดอันตรายกับสุขภาพตาของลูกน้อยได้ ทั้งมือถือ แท็บเล็ต หรือตั้งแต่ในครรภ์ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมของแม่ๆ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพตาของลูกน้อยได้เช่นกัน

ทำให้การตรวจสุขภาพตาเด็กอย่างสม่ำเสมอถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กๆ ได้ในโรคตาบางประเภท เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าเด็กแต่ละวัยมีปัญหาหรือโรคเกี่ยวกับตา และเราจะมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไปดูกันเลยค่า

เด็กวัยทารก (New Born)

ปัญหาสายตาที่มักพบ

หากแม่สูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดผลเสียต่อตาเด็กดังนี้

  • เด็กคลอดก่อนกำหนด ทำให้เด็กมีปัญหาทางตาถาวร หรือตาบอดได้
  • เด็กมีโอกาสป่วยเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่เยื่อหุ้มสมองเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากปกติ และนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้

พัฒนาการทางสายตา

  • เดือนแรก : สายตาทำงานประสานกันระหว่างสมองกับจอประสาทตา เด็กสามารถมองเห็นวัตถุที่ห้อยตรงหน้าได้
  • อายุ 2 เดือน : เด็กเริ่มมองได้กว้างขึ้น แต่ยังโฟกัสได้ไม่ดี
  • อายุ 3 เดือน : เด็กเริ่มมองตามและโฟกัสมาขึ้น แต่หากยังไม่มองตามต้องปรึษาแพทย์
  • อายุ 5 เดือน : เริ่มเห็นภาพ 3 มิติ สามารพจำวัตถุได้แม้เห็นเพียงบางส่วน
  • อายุ 9 เดือน : ดวงตาเริ่มมีสีที่ชัดเจนขึ้น เช่น ฟ้า น้ำตาล ดำ อาจเปลี่ยนแปลงได้ในช่วง 3 ปีแรก

ข้อแนะนำสำหรับเด็กวัยทารก

ช่วงวัยทารกเด็กยังไม่มีความสามารถในการโฟกัสวัตถุใกล้ไกลมากนักจากการศึกษาวิจัยต่าง ๆ พบว่า หากขอบเขตเหล่านี้ถูกปกปิดด้วยผ้าพันคอหรือหมวกอาบน้ำ ความชื่นชอบในการมองหน้าแม่ของทารกจะหายไป

ดังนั้น เพื่อส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ทางสายตากับลูกแรกเกิด ควรจัดแต่งทรงผมให้เหมือนเดิมและหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงลักษณะของคุณในช่วงสองสามสัปดาห์แรกของชีวิตของทารก

เด็กวัยเตาะแตะหัดเดิน (Toddlers)

ปัญหาสายตาที่มักพบ

วัยนี้เด็กจะเริ่มแสดงความผิดปกติทางสายตาอย่างเห็นได้ชัด โดยหลักๆ เกิดจาก 2 สาเหตุ คือกรรมพันธ์และสิ่งแวดล้อม โดยมักพบปัญหาสายตาได้ดังนี้

  • ตาเหล่ ตาเข ภาวะนี้ต้องรีบปรึกษาแพทย์ เพราะหากปล่อยไว้จนอายุเกิน 8 ปีแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขการมองเห็นภาพโดยใช้ 2 ตา ที่จะทำให้เห็นภาพเป็น 3 มิติได้นั่นเอง
  • โรคหัด ที่เป็นสาเหตุให้เกิดตาบอดในเด็กได้บ่อยสุด เพราะฉะนั้นควรพาลูกไปฉีดวัคซีนป้องกันอย่างตรงเวลาตามอายุที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
  • อุบัติเหตุจากสารเคมีกระเด็นเข้าตา ทำให้ตาบอดได้ เพราะฉะนั้นควรเก็บให้พ้นมือเด็ก หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ที่เป็นกรดหรรือด่างที่รุงแรง หากเกิดเหตุให้รีบส่งโรงพยาบาลทันที

พัฒนาการทางสายตา

เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เด็กๆ ใกล้จะ 1 ขวบแล้ว มีการเริ่มหัดคลาน หรือดึงวัตถุหรือสิ่งของต่างๆ เพื่อประคองให้ตัวเองยืนขึ้นได้ ในวัยนี้การมองเห็นจะมีการทำงานประสานงานกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ดี สามารถหยิบจับวัตถุที่มองเห็นตรงหน้าอย่างแม่นยำนั่นเอง

ข้อแนะนำสำหรับเด็กวัยเตาะแตะ

พ่อแม่อาจจะมีการคลานเล่นกับลูก หาของที่มีสีสันขอบมนกลม เอาไปวางไว้แล้วให้ลูกคลานไปหยิบ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้มีการเคลื่อนไหว และฝึกการทำงานของตาและส่วนอื่นๆ ที่มีการประสานงานกัน

 

เด็กวัยเรียน (School age children)

ปัญหาสายตาที่มักพบ

  • ภาวะสายตายาว แต่ไม่ต้องใส่แว่น เพราะเด็กมีความสามารถของกล้ามเนื้อตาในการจับจ้องวัตถุที่ดี และเมื่ออายุมากขึ้นกระบอกตาจะใหญ่และยาวขึ้น ทำให้สายตากลับมาเป็นปกติได้นั่นเอง
  • สายตายาวมาก ทำให้เกิดตาเหล่ หรือตาขี้เกียจเกียจได้
  • สายตาสั้น ตาล้า เกิดจากการจ้องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นานเกินไป
  • อ่านหนนังสือไม่ต่อเนื่อง ตกหล่น ขาดหาย
  • หมุนศีรษะ เอียงคอ เมื่อมองสิ่งต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง
  • หยีตา วิ่งไปดูใกล้ๆ เมื่อต้องการมองสิ่งนั้นชัดๆ
  • มีปัญหาการนอน เนื่องจากแสงสีฟ้า จึงไม่แนะนำให้เล่นก่อนนอนเลยเด็ดขาด
  • ตาบอดสี พบมากในเด็กชาย ซึ่งจะสังเกตได้ยาก จะทราบได้ก็ต่อเมื่อถึงวัยที่สามารถแยกสีหรือความแตกต่างของเฉดสีได้นั่นเอง

พัฒนาการทางสายตา

เป็นวัยที่มีพัฒนาการของกล้ามเนื้อตาในการจับจ้องวัตถุได้ดี และยังเป็นช่วงที่เรียกได้ว่ามีการใช้สายตา ทั้งการดูจอคอมพิวเตอร์  หรือหน้าจอต่างๆ นาน ทำให้เด็กในวัยนี้มีปัญหาเรื่องตาอย่างชัดเจนและสังเกตได้โดยเฉพาะปัญหาสายตาสั้น

ข้อแนะนำสำหรับเด็กวัยเรียน

คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องดูเรื่องการใช้แสงสว่างให้เพียงพอกับสายตา เพื่อช่วยถนอมสายตาให้กับเด็กๆ คอยเตือนเขาเรื่องการดูโทรทัศน์หรือหน้าจอที่ใกล้เกินไป ทางที่ดีหากมีโอกาศควรพาลูกไปตรวจสุขภาพตาก่อนเข้าเรียนเพื่อป้องกันเรื่องสายตาเรื้อรังที่พบมากในช่วยวัยเรียนได้อีกด้วยค่ะ

 

อ้างอิงจาก : Siriwan Medical Clinic, Amarinbabyandkids

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



เด็กวัยแรกเกิด เด็กวัยแรกเกิด
23 กันยายน 2562
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save