fbpx

รู้จักกับโรค Dyslexia โรคบกพร่องทางการอ่าน

Writer : Jicko
: 6 ตุลาคม 2563

การอ่านออกเขียนได้เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนมักให้ความสำคัญ และอยากที่จะให้ลูกน้อยได้มีสิ่งเหล่านี้ แต่บางครั้งโชคก็ไม่เข้าข้างเอาเสียเลยกับเด็กๆ บางคน ที่มักจะเป็นปัญหาเรื่องการสะกดคำไม่เป็นหรืออ่านหนังสือไม่ได้ตามเพื่อนๆ จนทำให้เรียนไม่ทัน ซึ่งมันอาจจะเป็นผลมาจากโรคดิสเล็กเซีย (Dyslexia) ก็ได้ เจ้าโรคนี้จะเป็นยังไง พ่อแม่จะสังเกตลูกแบบไหน ไปทำความเข้าใจพร้อมกันเลยค่ะ

Dyslexia เป็นหนึ่งในภาวะบกพร่องในการเรียนรู้ภาษาที่ส่งผลให้ไม่สามารถอ่าน สะกดคำ หรือเขียนหนังสือได้เหมือนคนทั่วไป ซึ่งเด็กๆ หลายคนมักจะประสบปัญหานี้แต่คุณพ่อคุณแม่อาจจะยังไม่ทราบว่าลูกเป็นโรค และคิดว่าลูกอาจจะเรียนไม่เก่งจริงๆ จนทำให้เกิดปัญหาการเรียนไม่ทันเพื่อนนั่นเอง

ประเทศไทยส่วนใหญ่มักพบเด็กที่เป็นโรค Dyslexia สามารถแบ่งเป็น 3 ข้อใหญ่ๆ ได้แก่

  1. ความบกพร่องทางด้านการอ่าน (Reading Disorder) : เด็กๆ จะมีความสามารถในการอ่านต่ำกว่าคนอายุเท่าๆ กัน โดยจะไม่สามารถอ่านได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนคนทั่วไป หรืออาจจะอ่านได้แต่ไม่สามารถจับใจความได้
  2. ความบกพร่องทางทักษะการเขียน การสะกดคำ การสร้างคำ หรือการสร้างประโยค (Written expression disorder) : สำหรับกลุ่มนี้เด็กๆ มักจะขาดทักษะการสะกดคำที่ถูกต้อง รวมทั้งยังไม่สามารถสร้างประโยคที่มีความหมายได้ ซึ่งมักจะพบควบคู่ไปกับความบกพร่องทางด้านการอ่านด้วยนั่นเอง
  3. ความบกพร่องทางด้านทักษะการคำนวณ (Mathematic disorder) : ส่วนความบกพร่องนี้เด็กๆ มักจะไม่เข้าใจถึงกระบวนการคำนวณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บวก ลบ คูณ หรือหาร ซึ่งจะไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร

สาเหตุของความบกพร่อง

  • บุคคลในครอบครัวมีภาวะ Dyslexia
  • เด็กที่คลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำกว่าปกติ
  • เมื่อได้รับยา สารเสพติด หรือแอลกอฮอล์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ รวมถึงการเกิดภาวะติดเชื้อของมารดา ที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์

อาการที่คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกต

วัยก่อนเข้าเรียน 

วัยนี้มักจะไม่แสดงอาการที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตได้ชัดเจน แต่สามารถสังเกตอาการได้บางราย ซึ่งมีดังนี้

1.มีปัญหาด้านการพูด เช่น พูดช้า ออกเสียงคำที่มีหลายพยางค์ไม่ได้

2.มีปัญหาเกี่ยวกับการจำตัวอักษร ตัวเลข และสี

3.สะกดคำไม่ได้ เรียนรู้คำใหม่ได้ช้า

4.ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการเล่นเสียงสัมผัสของกลอนหรือเพลง

วัยเริ่มเข้าเรียน

เมื่อลูกเริ่มเข้าเรียนคุณพ่อคุณแม่ก็จะเริ่มสังเกตอาการได้ชัดเจนขึ้น โดยอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านและเขียนหนังสือ ดังนี้

1.มีปัญหาเกี่ยวกับการจดจำชื่อหรือเสียงของตัวอักษร และการจัดลำดับของต่างๆ

2.มีปัญหาด้านการแยกความแตกต่างของรูปคำและเสียงตัวอักษร

3.มีพัฒนาด้านการสะกดคำและอ่านหนังสือช้ากว่าปกติ

4.อ่านออกเสียงคำที่ไม่คุ้นเคยไม่ได้

5.เลือกใช้คำพูดในการสื่อสารอย่างเหมาะสมไม่ได้

6.เขียนตัวอักษรและตัวเลขผิดอยู่เสมอ เช่น เลข 6 เป็น 9

 

พ่อแม่ควรดูแลเด็กๆ ได้อย่างไร ?

  • ให้เด็กๆ ได้ฟังเสียงตั้งแต่อายุ 6 เดือนหรือน้อยกว่านั้น เมื่อโตขึ้นอาจจะให้ฝึกอ่านนิทานก็ได้ค่ะ
  • สังเกตอาการของลูก หากมีภาวะ Dyslexia ให้ไปพบแพทย์ เพื่อรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น
  • ปรึกษาครูผู้สอนเกี่ยวกับการเรียนของลูกอย่างเหมาะสม คอยถามเกี่ยวกับการเรียนการสอนของลูกเสมอๆ
  • พยายามให้ลูกได้ฝึกอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ อาจจะมีการกำหนดเวลาสำหรับการอ่านหนังสือในแต่ละวันอย่างชัดเจนก็จะดีขึ้นค่ะ
  • ทำความเข้าใจโรค เพื่อความเข้าใจและควรอธิบายให้ลูกทราบด้วยว่า ภาวะนี้ไม่ใช่โรคที่เลวร้ายและไม่ใช่ความล้มเหลวในการใช้ชีวิตด้วย
  • พยายามกระตุ้นให้เด็กๆ มีความเชื่อมั่นในตนเองและเห็นคุณค่าในความสามารถด้านอื่นๆ ที่เขามี
  • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนต่างๆ เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับภาวะ Dyslexia รวมทั้งช่วยให้ผู้ที่เกิดภาวะนี้ได้เรียนรู้วิธีรับมือกับอารมณ์ของตนเองได้อย่างดีขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตามหากคุณแม่ที่กำลังวางแผนมีบุตรหรือกำลังตั้งครรภ์อยู่ หากต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาวะ Dyslexia นี้ ก็ต้องดูแลตัวเองให้มาก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อตัวเองและลูก ที่สำคัญเลยต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัส สูดดม หรือรับประทานอาหารที่มีสารเคมีเจือปน หากมีการคลอดก่อนกำหนด ก็ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อดูแลกันต่อไปนั้นเองค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Pobpad, Health.Kapook, Honestdocs, Catdumb

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



จะรู้ได้ยังไง ว่าลูกเป็น “สมาธิสั้น”
เตรียมตัวเป็นแม่
มีบุตรยาก แก้ไขอย่างไรได้บ้าง
ข้อมูลทางแพทย์
วิธีการสอนให้ลูกรับมือกับความผิดหวัง
เตรียมตัวเป็นแม่
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save