fbpx

เจาะลึก! ทำความรู้จักกับ 14 วัคซีนที่ควรให้ลูกฉีด

Writer : Lalimay
: 13 พฤศจิกายน 2561

วัคซีนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน เพราะจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งวัคซีนก็มีหลายชนิดมากๆ วันนี้เราจึงจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปรู้จักวัคซีน 14 ชนิด ที่เป็นวัคซีนจำเป็นและวัคซีนทดแทน คุณพ่อคุณแม่จะได้สบายใจและรู้ว่าวัคซีนที่ลูกต้องฉีดนั้นคืออะไรค่ะ

วัคซีนบีซีจี

วัคซีนป้องกันวัณโรค ซึ่งเป็นวัคซีนพื้นฐานที่เด็กไทยทุกคนควรได้รับตั้งแต่แรกเกิด โดยฉีดในชั้นผิวหนังที่ไหล่ซ้าย ไม่ควรฉีดที่สะโพก

  • จำนวน : 1 ครั้ง
  • ฉีดเมื่อ : แรกเกิด
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : ฟรี
    • โรงพยาบาลเอกชน : เข็มละ 324 บาท

วัคซีนตับอักเสบบี

วัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกเกิด เพราะการติดเชื้อในวัยเด็กจะทำให้เด็กที่ติดเชื้อเป็นพาหะของโรคนี้ได้สูง

  • จำนวน : 2 ครั้ง
  • ฉีดเมื่อ : แรกเกิด / อายุ 1 เดือน (ตอน 1 เดือนขึ้นอยู่กับว่าแม่มีเชื้อพาหะรึเปล่า)

นอกจากนี้ยังมีการรวมวัคซีน คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบีไว้ด้วยกัน ซึ่งจะฉีดหลังจากที่ได้รับวัคซีนตับอักเสบเพียวๆ แล้ว

  • จำนวน : 3 ครั้ง
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 2 เดือน / 4 เดือน / 6 เดือน

สรุปรวมวัคซีนตับอักเสบบีที่ต้องได้รับคือ 5 ครั้ง

  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : เข็มละ 300-500 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : เข็มละ 600-1,200 บาท

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน

เป็นวัคซีนที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็ก ป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยักและไอกรน ซึ่งวัคซีนนี้จะมีอยู่ 2 ชนิด คือชนิดทั้งเซลล์ (DTwP) และชนิดไร้เซลล์ (DTaP) โดยชนิดทั้งเซลล์จะเป็นวัคซีนที่เด็กทุกคนได้รับ แต่ชนิดไร้เซลล์เป็นตัวเลือกที่สามารถนำมาใช้ทดแทนชนิดทั้งเซลล์ได้

  • จำนวน : 5 ครั้ง
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 2 เดือน / 4 เดือน / 6 เดือน (ก็คือวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี) / 18 เดือน / 4-6 ปี จากนั้นฉีดกระตุ้นด้วย Td หรือ Tdap ทุก 10 ปี
  • ราคา : ชนิดทั้งเซลล์
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : ราคา 495 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : เข็มละ 2,200 บาท
  • ราคา : ชนิดไร้เซลล์
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : ราคา 988 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : 900 บาทขึ้นไป

ข้อมูลวัคซีนจากhaamor.com

วัคซีนโปลิโอ

เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันไวรัสโปลิโอ ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสโปลิโอ โดยเป็นไวรัสที่แพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็วมาก และการที่ให้เด็กได้รับวัคซีนโปลิโอจึงทำให้ในปัจจุบันโรคโปลิโอลดลงอย่างมากจนเกือบหมดไป

วัคซีนโปลิโอมี 2 แบบคือ แบบหยอดและแบบฉีด โดยแบบหยอดจะเป็นวัคซีนที่เด็กทุกคนได้รับร่วมกับแบบฉีด 1 ครั้งหรือจะให้แบบฉีดทั้งหมดเลยก็ได้

แบบหยอด

  • จำนวน : 5 ครั้ง (+1 แบบฉีด)
  • หยอดเมื่อ : อายุ 2 เดือน / 4 เดือน (ให้แบบฉีดร่วมด้วย) / 6 เดือน / 18 เดือน / 4-6 ปี
  • ราคา :
  • โรงพยาบาลรัฐบาล :  30 บาท

แบบฉีด

  • จำนวน : 4-5 ครั้ง
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 2 เดือน / 4 เดือน / 6 เดือน / 18 เดือน (อาจฉีดหรือไม่ก็ได้) / 4-6 ปี
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : เข็มละ 300-500 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : เข็มละ 400-700 บาท

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม

เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถก่อโรคได้ ซึ่งรวมการป้องกัน 3 โรคได้แก่ โรคหัด โรคหัดเยอรมันและโรคคางทูม (MMR) โดยวัคซีนรวมนี้เป็นวัคซีนพื้นฐาน แต่นี้ยังมีวัคซีนที่ป้องกัน 4 โรค คือ เพิ่มโรคอีสุกอีใสเข้ามา กลายเป็นวัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม-อีสุกอีใส (MMRV) ที่จะฉีดทดแทนหรือไม่ก็ได้

  • จำนวน : 2 ครั้ง
  • ฉีดเมื่อ :
    • อายุ 9-12 เดือน / 2.5 ปี (MMR)
    • อายุ 12-18 เดือน / 2.5-4 ปี (MMRV)
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : เข็มละ 300-700 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : เข็มละ 500-1,200 บาท

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี

โรคไข้สมองอักเสบเจอี เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยในประเทศไทย มียุงเป็นพาหะนำโรค ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วย “วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี” ที่มีอยู่ 2 ชนิด คือ วัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Vaccine) และวัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated Vaccine) โดยชนิดเชื้อเป็นจะเป็นวัคซีนที่เด็กทุกคนได้รับ

วัคซีนชนิดเชื้อเป็น

  • จำนวน : 2 ครั้ง
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 9-12 เดือน / 2.5 ปี
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : เข็มละ 100 – 300 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : เข็มละ 400 – 600 บาท

วัคซีนชนิดเชื้อตาย

  • จำนวน : 3 ครั้ง
  • ฉีดเมื่อ : เข็มแรกเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป จากนั้นอีก 4 สัปดาห์ฉีดเข็มที่ 2 และฉีดเข็มที่ 3 เมื่อผ่านไป 1 ปี

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อที่เกิดขึ้นได้บ่อย พบมากในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว โดยวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนที่บรรจุอยู่ในวัคซีนที่เด็กไทยต้องได้รับ และแนะนำสำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง อย่าง ผู้สูงอายุ สตรีตั้งครรภ์และผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ ด้วย

  • จำนวน : 2 เข็มในช่วงแรก จากนั้นปีละเข็ม
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 6 เดือน – 2 ปี ให้ ปีละ 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน หลังจากนั้นฉีดปีละครั้ง
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : กลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยง รีบการฉีดฟรี บุคคลทั่วไป 300-600 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : เริ่มตั้งแต่ 400-1,500 บาท

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนเอชพีวี (ป้องกันมะเร็งปากมดลูก)

วัคซีนเอชพีวีช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อ ไวรัสเอชพีวี (HPV) ซึ่งไวรัสนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูก โดยวัคซีนนี้ผู้ที่ควรได้รับมากที่สุดคือผู้หญิง อายุ 9-26 ปี และจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อได้รับการฉีดตั้งแต่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์เลย

  • จำนวน : 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 11-12 ปี (ประมาณป.5)
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : เด็กป.5 ฉีดฟรี นอกเหนือจากนั้นเข็มละ 2,000-4,000 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : เข็มละ 2,000-4,000 บาท

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนฮิบ

วัคซีนฮิบจะช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซา ชนิดบี (Hemophilus influenzae Type B : Hib) ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดต่อได้โดยผ่านละลองอากาศ เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และไขสันหลังอักเสบในเด็ก มีความรุนแรงมากโดยเฉพาะในเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ

  • จำนวน : 3 ครั้ง
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 2 เดือน / 4 เดือน / 6 เดือน
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : ราคา 1,000-5,000 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : ราคา 1,000-5,000 บาท

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนตับอักเสบเอ

ช่วยป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Hepatits A virus) ที่ติดต่อผ่านทางอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรคนี้ มีอยู่ 2 ชนิด คือ เชื้อไม่มีชีวิตและเชื้อมีชีวิต

เชื้อไม่มีชีวิต

  • จำนวน : 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 1 ปีขึ้นไป

เชื้อมีชีวิต

  • จำนวน : 1 เข็ม
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 18 เดือนขึ้นไป
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : เข็มละ 1,800 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : เข็มละ 2,000 บาท

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนอีสุกอีใส (VZV)

วัคซีนนี้ช่วยป้องกันโรคอีสุกอีใสซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อผ่านการไอ จาม หรือการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้เกิดผื่นผุพองเป็นตุ่มน้ำใสที่ผิวหนัง ทำให้คันได้ อาจให้วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม-อีสุกอีใส (MMRV) แทนแบบแยกเข็ม

  • จำนวน : 2 เข็ม
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 12-18 เดือน / 2.5-4 ปี
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : ราคา 800 – 1,000 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : ราคา 1,300 – 2,000 บาท

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกตหรือวัคซีนไอพีดี (IPD)

เชื้อนิวโมคอคคัสเป็นตัวการหลักในการก่อให้เกิดโรคติดเชื้อไอพีดี ที่มีอาการรุนแรง คือ เยื่อหุ้มสมองอักเสบและปอดอักเสบ ซึ่งเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง ดังนั้นจึงมีการให้วัคซีนนิวโมคอคคัส ชนิดคอนจูเกต เพื่อเป็นการป้องกันโรคแก่เด็ก

  • จำนวน : 4 เข็ม
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 2 เดือน / 4 เดือน / 6 เดือน / 12-18 เดือน
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : วัคซีนไอพีดี 10 สายพันธุ์ราคาประมาณ 1,700 บาท ชนิด 13 สายพันธุ์ ราคาประมาณ  2,300 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : วัคซีนไอพีดี 10 สายพันธุ์ 4 เข็ม ราคาประมาณ 7,990 บาท ชนิด 13 สายพันธุ์ ราคาเข็มละประมาณ  3,700 บาท

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com/th

วัคซีนโรตา

เชื้อไวรัสโรตา (Rotavirus) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอุจจาระร่วง ท้องร่วง หรือท้องเสียในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งวัคซีนโรตาเป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันต้านทานโรค โดยวัคซีนนี้เป็นวัคซีนแบบหยอด มีชนิด 2 ชนิดคือ Live attenuated human และ Bovine-human reassortant

ชนิด Live attenuated human

  • จำนวน : 2 ครั้ง
  • หยอดเมื่อ : อายุ 2 เดือน / 4 เดือน

ชนิด Bovine-human reassortant

  • จำนวน : 3 ครั้ง
  • หยอดเมื่อ : อายุ 2 เดือน / 4 เดือน / 6 เดือน
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : 800-1000 บาทต่อครั้ง
    • โรงพยาบาลเอกชน : 800-1000 บาทต่อครั้ง

ข้อมูลวัคซีนจาก : haamor.com

วัคซีนไข้เลือดออก

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกสามารถป้องกันครบถ้วนทั้ง 4 สายพันธุ์ เป็นวัคซีนที่ฉีดเมื่อเคยเป็นไข้เลือดออกเท่านั้น

  • จำนวน : 3 เข็ม ห่างกัน 0, 6 และ 12 เดือน
  • ฉีดเมื่อ : อายุ 9 – 45 ปี
  • ราคา :
    • โรงพยาบาลรัฐบาล : เข็มละประมาณ 3,000 บาท
    • โรงพยาบาลเอกชน : 3 เข็ม ราคา 9,600 บาท

ข้อมูลอ้างอิงวัคซีนทั้งหมดและราคาจาก

*** ราคาวัคซีนเป็นข้อมูลของปี 2561 ***

รวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลโดยทีมงาน Parents One

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ข้อมูลทางแพทย์ ข้อมูลทางแพทย์
29 สิงหาคม 2560
จะรู้ได้ยังไง ว่าลูกเป็น “สมาธิสั้น”
เตรียมตัวเป็นแม่
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save