fbpx

โรคแอลดีคืออะไร ? มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง ?

Writer : giftoun
: 2 ธันวาคม 2562

เมื่อลูกถึงวัยที่น่าจะเริ่มอ่านออกเขียนได้ หรือคิดเลขได้ แต่ว่ายังเขียนคำผิด หรือคิดเลขผิดอยู่บ่อยๆ ก็อาจจะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแอลดีได้ แล้วโรคแอลดีคืออะไร และมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

โรคแอลดีคืออะไร

โรคแอลดี (LD หรือปัจจุบันการวินิจฉัยใหม่ล่าสุดเรียกว่า SLD ย่อมาจาก Learning หรือ Specific Learning Disorder) เป็นหนึ่งในภาวะที่เด็กจะมาตรวจกับจิตแพทย์เด็กหรือกุมารแพทย์พัฒนาการด้วยเรื่องปัญหาการเรียน เช่น อ่านเขียนไม่ได้ หรือ ไม่คล่อง หรือมีปัญหาในการคิดเลข โดยเด็กจะมีทักษะทางวิชาการในด้านนั้นต่ำกว่าเกณฑ์หรือความคาดหวังตามวัย และได้รับการยืนยันจากการตรวจประเมินทางคลินิกและแบบทดสอบตามมาตรฐาน

ชนิดของโรคแอลดี

โรคแอลดีนั้นแบ่งออกเป็น 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่

ความบกพร่องด้านการอ่าน

ความบกพร่องด้านการอ่านเป็นปัญหาที่พบได้มากที่สุดของเด็กแอลดีทั้งหมด ซึ่งจะมีความบกพร่องในการจดจำ พยัญชนะ สระ และขาดทักษะในการสะกดคำ จึงอ่านหนังสือไม่ออกหรืออ่านช้า อ่านออกเสียงไม่ชัด ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้ อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความสามารถในการอ่านหนังสือต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี

ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ

ความบกพร่องด้านนี้ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับความบกพร่องด้านการอ่าน เด็กมีความบกพร่องในการเขียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ไม่ถูกต้อง บางครั้งเรียงลำดับอักษรผิด จึงเขียนหนังสือและสะกดคำผิด ทำให้ไม่สามารถแสดงออก ผ่านการเขียนได้ตามระดับชั้นเรียน เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการเขียนสะกดคำต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี

ความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์

เด็กขาดทักษะและความเข้าใจค่าของตัวเลข การนับจำนวน การจำสูตรคูณ การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถคำนวณคำตอบจากการบวก ลบ คูณ หาร ตามกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ได้ เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการคิดคำนวณ ต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคแอลดี

บางคนคิดว่าเด็กที่เป็นโรคแอลดีนั้นไม่ฉลาดหรือปัญญาอ่อน อันที่จริงเด็กที่เป็นแอลดีไม่ใช่เด็กโง่ แต่เพียงเขามีความบกพร่องในการเรียนในบางด้าน ซึ่งเด็กที่เป็นแอลดีบางคนมีไอคิวระดับดีมาก แต่เด็กคนนั้นจะมีความบกพร่องในการเรียนบางด้าน ด้วยความที่ดูปกติในเรื่องอื่นๆ ยกเว้นบางเรื่องที่เขาบกพร่อง พ่อแม่บางคนมีความสับสนเพราะเห็นลูกเก่งในทุกเรื่อง แต่ถ้าอ่านเขียนหนังสือนี่หน้าบูดเบี้ยวทีเดียว บางทีพ่อแม่จะคิดว่า เด็กขี้เกียจหรือสอนไม่จำ ไม่เอาไหน แต่ไม่ใช่เช่นนั้นเลย โรคแอลดีมีสาเหตุจากความผิดปกติการสมองบางส่วนที่เกี่ยวข้องการอ่าน สะกดคำ หรือคณิตศาสตร์ ไม่ได้เกี่ยวกับนิสัยของเด็ก

อาการของโรคแอลดี

อาการของโรคแอลดีที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ เช่น

  • หลีกเลี่ยงการอ่านการเขียน
  • ไม่มีสมาธิในการเรียน ทำงานช้า ทำงานไม่เสร็จทำงานสะเพร่า
  • ความจำไม่ดี เรียนได้หน้าลืมหลัง
  • รู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้
  • ไม่มั่นใจในตนเอง มักตอบว่า “ทำไม่ได้” “ไม่รู้”
  • อารมณ์ ขึ้นๆลงๆ หงุดหงิดง่าย ไม่อดทน
  • ก้าวร้าวกับเพื่อน พี่น้อง ครู หรือพ่อแม่
  • ขาดความภาคภูมิใจในตนเอง
  • ฯลฯ

การดูแลรักษาโรคแอลดี

การช่วยเหลือทางการแพทย์

เนื่องจากโรคแอลดีสามารถเกิดรวมกับโรคอื่นๆ ได้บ่อย เช่น โรคสมาธิสั้น ดังนั้นแพทย์จึงมีบทบาทในการประเมิน วินิจฉัยภาวะต่างๆ ที่เด็กมี ร่วมถึงให้การรักษาภาวะเหล่านั้น เช่น โรคสมาธิสั้น หากได้รับยาช่วยสมาธิ อาการของโรคก็จะดีขึ้นมาก

การช่วยเหลือทางการศึกษา

ส่วนคุณครู หากมีความเข้าใจและพยายามช่วยเหลือด้านการเรียน เช่น ถ้าเด็กเป็นแอลดีการอ่าน ก็อนุญาตให้สอบปากเปล่า หรืออ่านโจทย์ให้ฟัง เด็กที่เป็นแอลดีการเขียนสะกดคำ อาจให้เด็กทำข้อสอบเป็นกากบาทมากกว่าให้เขียนตอบ จะพบว่าจริงๆเด็กก็ทำได้ดี ถ้าให้ดีควรเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มเล็กๆที่พื้นฐานเหมือนกัน เพราะหากเรียนกับเพื่อนคนอื่นที่เรียนอยู่ชั้นเดียวกันตามปกติ ในวิชาที่เด็กบกพร่อง ก็จะยิ่งตามไม่ทัน

การช่วยเหลือจากครอบครัว

คุณพ่อคุณแม่ลองอธิบายให้เด็กและครอบครัวทราบถึงปัญหาและความบกพร่องเฉพาะด้านของเด็ก รวมทั้งความรู้สึกของเด็กที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ เปลี่ยนพฤติกรรมจากการตำหนิ ลงโทษ เป็นความเข้าใจ และสนับสนุนในการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็ก แล้วชื่นชมเมื่อเด็กทำสำเร็จแม้ในเรื่องเล็กน้อยเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง

ถือได้ว่าโรคแอลดีนั้นสามารถเกิดได้กับเด็กทั่วไป คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตอาการของบุตรหลานเบื้องต้น อีกทั้งถ้าลูกมีอาการดังกล่าวแล้ว จะต้องคอยให้กำลังใจ อยู่เคียงข้าง และค่อยๆ สอนจากพื้นฐานที่เด็กทำได้ และสุดท้ายอย่าลืมส่งเสริมเด็กในด้านที่เขาชอบและถนัด เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ บางทีเด็กก็ทำได้ดี จะได้ทำให้ลูกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้นด้วย

ที่มา

Writer Profile : giftoun


  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว
26 กรกฏาคม 2560
7  วิธี พิชิตการทานยากของเด็ก
ชีวิตครอบครัว
เริ่มให้ลูกฝึกปั่นจักรยานตอนไหนดี?
กิจกรรมของครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save