fbpx

ถกปัญหา! ระหว่างวัคซีน Pfizer VS Sinopharm ลูกควรฉีดอะไรดี?

Writer : Mneeose
: 4 ตุลาคม 2564

การติดเชื้อโควิด-19 ในเด็ก สร้างความกังวล และความตึงเครียดให้กับคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก ยิ่งมีการเปิดภาคเรียนในเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว ลูกๆ ก็ต้องเดินทางไปโรงเรียน ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีความเสี่ยงแค่ไหน?

ในปัจจุบัน พบว่า แม้จะมีการติดเชื้อในเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี ในสัดส่วนที่สูงขึ้น แต่ผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง และมีอัตราการเสียชีวิตน้อยมาก

เด็กที่ติดเชื้อโควิ-19 จนเสียชีวิต มักจะเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้โควิด-19 รุนแรงขึ้น จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อคุณแม่หลายคนจึงเกิดความกังวล และสงสัยว่า ลูกเราควรฉีดวัคซีนยี่ห้อไหนดีนั่นเอง ระหว่าง Pfizer VS Sinopharm ไปดูกัน

เมื่อวันพุธที่ 29 กันยายน 2564 ที่ผ่านมานี้ Parents One ได้ไปเจอบทความของเพจ เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ ที่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับวัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็ก และวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป จาก ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ว่า

ควรให้เด็กและวัยรุ่นฉีดวัคซีนชนิดที่ได้รับการรับรอง ขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทยให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่น โดยให้ตรงตามอายุที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ และวัคซีนได้ผ่านการพิจารณาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งในตอนนี้ มีเพียง “วัคซีน mRNA ของไฟเซอร์” ชนิดเดียวเท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์ข้างต้น

  • ส่วนวัคซีน “ซิโนฟาร์ม” ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่แน่ชัดว่าเหมาะสำหรับเด็กจริงๆ เพราะอยู่ในขั้นของการวิจัยนั่นเองค่ะ

ดังนั้น เราไปทำความรู้จักกับวัคซีนไฟเซอร์ให้ดีมากยิ่งขึ้นกันดีกว่า

 

เงื่อนไขที่เด็กจะสามารถได้รับวัคซีนไฟเซอร์ มี 3 ประเด็นหลักๆ คือ

  • ก่อนฉีดไฟเซอร์ : ต้องเป็นการฉีดที่เด็กสมัครใจฉีด และได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อนแล้วเท่านั้น
  • วัคซีนไฟเซอร์จะถูกจัดสรรผ่านโรงเรียน ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้น ม.1 – ม.6 ปวช./ปวส.
  • เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป :
    • เด็กผู้หญิง : สามารถฉีดไฟเซอร์ได้ทุกคน ทั้งเด็กที่ร่างกายแข็งแรง และเด็กที่เป็น 7 กลุ่มเสี่ยง
    • เด็กผู้ชาย : ให้ฉีดเฉพาะวัคซีนเข็มที่ 1 ส่วนเข็มที่ 2 ให้ชะลอไปก่อน เนื่องจาก อาจเกิดผลข้างเคียงเกี่ยวกับภาวะ “กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ” หรือ “เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ”

ซึ่งภาวะ “กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ” หรือ “เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ” (myocarditis/pericarditis) พบบ่อยในเด็กชายอายุ 12-16 ปี หลังจากที่ฉีดวัคซีน mRNA ไฟเซอร์เข็ม 2 นั่นเอง โดยมีอาการ หายใจหอบเหนื่อย เจ็บแน่นหน้าอก ซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 3-7 วัน หลังได้รับวัคซีน

ดังนั้น เด็กผู้ชายที่อายุ 12-15 ปี จึงควรฉีดไฟเซอร์เพียงเข็มเดียวเท่านั้น เพราะแค่เพียงไฟเซอร์เข็มเดียว ก็สามารถป้องกันอาการป่วยหนัก และเสียชีวิตได้สูงถึง 94% แล้วค่ะ และแน่นอนว่า เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ “กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ” หรือ “เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ” ด้วยนั่นเอง

ข้อปฏิบัติหลังจากที่ลูกฉีดไฟเซอร์แล้ว

  • งดออกกำลังกาย 1 อาทิตย์
  • ถ้ามีอาการปวดหัว ควรกินยาแก้ปวดลดไข้
  • สังเกตอาการหากมีอะไรปกติ เช่น
    เจ็บแน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที! รวมทั้งแจ้งข้อมูลว่าเพิ่งได้รับวัคซีนไฟเซอร์

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเพจ เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ ที่นำความรู้ดีๆ เกี่ยวกับเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับเด็กมาบอกต่อกันนะคะ และทางเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณพ่อคุณแม่น่าจะต้องหันมาใส่ใจ หาข้อมูล และดูแลลูกเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน ซึ่งมีความซับซ้อนอยู่ไม่มากก็น้อยนั่นเอง สุดท้ายนี้ ทุกๆ วัคซีน มีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขอยู่ในตัวมันเอง ก่อนที่จะตัดสินใจให้ลูกฉีดวัคซีนใดๆ คุณพ่อคุณแม่ควรตรวจสอบเช็กข้อมูลกันดีๆ ก่อนนะคะ จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อลูกในภายหลังนั่นเอง 

ด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ จาก Parents One

ขอขอบคุณแหล่งอ้างอิง :

เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ
คำแนะนำในการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่12 ปีขึ้นไป (ฉบับที่2)
เปิดคำแนะนำ “ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์” ฉีดไฟเซอร์เด็ก 12 ปี

Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



วิธีการสอนให้ลูกรับมือกับความผิดหวัง
เตรียมตัวเป็นแม่
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save