fbpx

การเอาตัวรอดไปพร้อมลูกน้อยเมื่อเกิดการก่อการร้าย

Writer : OttChan
: 11 กุมภาพันธ์ 2563

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาข่าวเกี่ยวกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ทำให้คนเราตื่นตัวและระแวดระวังตัวกันได้มากขึ้นซึ่งสำหรับผู้ใหญ่หรือบุคคลที่มาเพียงลำพังอาจมีหนทางหรือลู่ทางในการหนีได้คล่องตัวกว่า ครอบครัวที่มีลูกน้อยหรือเด็กๆ เพราะเด็กนั้นยังไม่สามารถเอาตัวรอดเองได้หรือรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ มันยากเกินจะควบคุม ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่เองจะต้องมีมาตรการในการดูแลและช่วยให้เรารอดไปด้วยกัน

มาดูกันดีกว่าค่ะว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจะต้องทำอย่างไร

กรณียังพอมีหนทางในการออกไปจากสถานการณ์อันตราย

มีสติให้เร็วที่สุด

แน่นอนว่าไม่มีใครถูกฝึกมาให้รับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายเพราะใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนจะเคยเป็นตำรวจหรือทหาร ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยเราให้รอดจากความเป็นความตายมากที่สุดก็คือการดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะเป็นเรื่องจากเพราะเสียงปืนหรือเสียงข่มขู่จะทำให้ร่างกายเรานิ่งค้างไปอัตโนมัติด้วยความกลัวแต่ก็ต้องพยายามฝืนกลับมาให้ได้เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือทุกชีวิตของครอบครัวให้เรารอดไปด้วยกัน

เมื่อได้ยินเสียงหรือสัญญาณเตือนว่าเกิดเหตุ ต้องตั้งสติและรีบออกจากจุดเกิดเหตุทันที ไม่นิ่งอึ้งหรือเข้าไปมุงดูเหตุการณ์

อย่าอยู่รวมเป็นกลุ่มใหญ่

ในกรณีที่มากันเป็นครอบครัวไม่ควรแยกจากกันเป็นอันขาดเพราะจะทำให้ไม่สามารถติดต่อกันได้ในตอนหลังหรือซ้ำร้ายยิ่งกว่าอาจไม่ได้เจอกันอีก แต่กับการไหลไปตามกระแสผู้คนนั้นจะทำให้ตกเป็นเป้าได้ง่าย ดังนั้น หากเลือกได้ให้เลือกหาทางออกที่ใกล้ที่สุดและมั่นใจว่าเป้นทางที่สามารถช่วยให้รอดไปจากสถานการณ์ได้จริงๆ

วิ่งให้ไกล อย่าหันกลับไป

การหนีคือสิ่งที่ควรทำที่สุดในสถานการณ์นี้ยิ่งออกไปจากสถานที่ที่เกิดเหตุได้ยิ่งดี ทิ้งทุกสัมภาระที่ไม่จำเป็นออกเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการหลบหนี หากมีลูกเล็กรีบอุ้มชิดติดตัวและพาหนีออกไป แต่ในกรณีที่มีลูกหลายคนต้องวางแผนให้ดีว่าใครจะอุ้มคนไหนหรือถ้าเด็กนั้นโตพอวิ่งเดินเองได้แล้วให้รีบจับมือกันให้มั่นแล้วพากันวิ่งไป อย่าปล่อยมือเด็ดขาด บางบ้านอาจพึ่งพารถเข็นในการช่วยประหยัดเวลาแต่ต้องมั่นใจว่าตัวรถเข็นสามารถปลดตัวล็อคได้ง่ายเพราะหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นจะได้สามารถปลดรถออกและวิ่งหนีต่อได้ทัน

กรณีติดอยู่ในสถานการณ์อันตรายและหลบหนีไม่ทัน

หาที่หลบให้เร็วที่สุด

เมื่อรู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถออกไปจากความคับขันได้ทัน สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบจัดการต่อจากนั้นคือรีบหาที่หลบในทันที ไม่แนะนำให้หลบในห้องน้ำ, ห้องโล่งไม่มีที่ให้หลบ ดังนั้นห้องที่ควรเลือกเพื่อความปลอดภัยต้องเป็นห้องที่มีตัวกลอนล็อครึมีโต๊ะเก้าอี้ที่พอใช้คั่นประตูไว้ได้, มีอุปกรณ์ที่พอใช้โต้ตอบได้หากเกิดเรื่องขึ้น อาทิ ถังดับเพลิง, ของแข็ง

บอกลูกให้เข้าใจถึงสถานการณ์

เป็นเรื่องที่ยากที่สุดแล้วในการหลบคือการควบคุมให้เด็กๆ อยู่ในความสงบและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากเกิดเรื่องขึ้นแล้วจำเป็นต้องใช้ความเงียบที่ทั้งยาวนานและอึดอัด ก็จำต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เด็กอยู่ในความสงบ น้ำและขนมจำต้องมีติดกระเป๋าไว้ให้มั่นเพราะหากเด็กเริ่มหิวหรือง่วง เขาจะเริ่มงอแงขึ้นมาโดยที่เราอาจจะควบคุมหรือปรามไว้ได้ไม่ทัน ฉะนั้นต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกเชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด

ปิดม่าน, ปิดไฟ,ปิดเสียงโทรศัพท์,เสียงของเล่นให้หมด

ยิ่งทำเหมือนไม่มีใครอยู่ภายในเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เปอร์เซ็นการรอดสูงขึ้น แม้จะร้อนหรือทำให้เจ้าตัวเล็กอึดอัดก็จำต้องยอมทนไว้เพราะหากมีการเคลื่อนไหวหรืออะไรก็ตามที่แสดงถึงการมีบุคคลอยู่ภายใน ก็จะยิ่งทำให้ตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้น และเพิ่มความอุ่นใจที่มากขึ้น หาโต๊ะหรือตู้ใหญ่ๆ ในการหลบเป็นเกราะกำบังอีกครั้งเพราะเราไม่สามารถทราบได้ว่าผู้ก่อการร้ายจะเคลื่อนไหวไปในทางไหน จึงจำต้องระวังในทุกทาง โดยเฉพาะของที่อาจทำให้เกิดเสียงได้อย่างของเล่นหรือเครื่องเกมส์ควรถอดแบตเตอรี่หรือปิดเครื่องไปเลย กันการลั่น

เบอร์ 191 ต้องมีไว้ติดเครื่อง

แม้การช่วยเหลืออาจจะมาได้ล่าช้าหรือไม่มีวันรู้ได้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือเมื่อไหร่แต่อย่างไรก็อย่าหมดหวังขอความช่วยเหลือออกไป เบอร์ 191 เมมไว้ให้มั่นและรีบโทรหาเพื่อรายงานสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือทันทีเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย

เมื่อหนีรอดออกมาได้แล้วต้องรีบเยียวยา

อย่าคิดว่าการที่รอดออกมาจากสถานการณ์เลวร้ายได้จะจบลงเพียงเท่านั้น ผู้ใหญ่อาจจะมองว่าเป็นโชคร้ายที่เกิดขึ้นแต่กับเด็กเล็กๆ มันคือฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขาไปทั้งชีวิต เมื่อรู้ได้ว่าปลอดภัยแล้วสิ่งที่ต้องทำคือการพาลูกๆ ในบ้านไปรับการเยียวยาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาทิการพาไปตรวจร่างกายเพื่อเช็คความบอบช้ำภายนอก , พาพบจิตแพทย์เพื่อบำบัดสภาพภายใน ไม่ให้รู้สึกว่ายังตกอยู่ในอันตรายและแน่นอนว่ากับคุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องตรวจสภาพความรู้สึกของตนเองว่าหลังได้ทำตนเป็นฮีโร่ของเด็กๆ แล้ว ตัวเราเองไหวหรือเปล่า หากมีอาการตื่นตระหนกหรือยังคงผวากับเสียงปืนไม่หาย ก็ต้องเยียวยาตนเองเช่นกันนะคะ อย่าปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่าไม่เป็นไร

ทุกวันนี้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องโรคร้าย ผู้ไม่ประสงค์ดีหรือแม้แต่สภาพอากาศที่อาจทำให้เราทรุดลงไปได้ทุกครั้งที่สูดดม ขอให้ทุกคนตั้งสติให้มั่นเมื่อพบเจอกับเรื่องราวต่างๆ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตและความทุกข์โศกเหล่านี้ไปด้วยกันนะคะ ทีมงาน Parents One ของอวยพรให้ทุกคนพบเจอแต่สิ่งดีๆ และชีวิตที่สดใสนะคะ

ที่มา : SpoiledPediatrician , news.mthai.com , www.rromdtour.coml

 

Writer Profile : OttChan

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
ไม่เป็นไร
26 สิงหาคม 2563
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save