fbpx

ช่วยด้วย ! ลูกเริ่มแพ้ ตัวแดงเชียว มีผดอีก ทำไงดี ?

Writer : giftoun
: 16 ตุลาคม 2560

การเจ็บป่วยของลูกนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคุณแม่เสมอ ยิ่งมีอะไรที่ผิดปกติอย่างมีผด ตัวแดง แล้วคุณแม่ยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ ทำอะไรไม่ถูก อย่างแรกที่อยากให้คุณแม่ทำคือตั้งสติเสียก่อน และลองดูขั้นตอนการรับมือดังต่อไปนี้กันค่ะ

ลองแยกประเภทของผดผื่นเสียก่อน

เพราะผื่นคันในเด็กเล็กนั้นมีหลายชนิดด้วยกัน ถ้าหากสามารถแยกประเภทได้เบื้องต้นแล้ว จะรู้วิธีรับมือได้

  • ผดผื่นที่เกิดจากต่อมเหงื่อ เกิดจากต่อมเหงื่อของเจ้าตัวน้อยยังทำงานได้ไม่ดี จึงเกิดการอุดตัน กลายเป็นผดผื่นได้ง่าย ซึ่งได้แก่ ผดใส ผดแดง และผดลึก ที่มักเกิดในฤดูร้อน
  • ผดผื่นที่เกิดจากต่อมไขมัน รูเปิดของต่อมไขมันยังทำงานได้ไม่ดี ทำให้ผิวหนังเกิดการอุดตันและอักเสบได้ง่าย ทำให้เห็นคราบไขมันเหลืองหนา แห้งเป็นเกร็ดติดอยู่ และจะผลิตออกมาเรื่อย ๆ ของเก่าแห้งไป ของใหม่มาอีก
  • ผื่นจากภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นพันธุกรรมที่คุณพ่อหรือคุณแม่เป็น ภูมิแพ้ ทำให้ไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ หากเจ้าตัวน้อยได้รับพันธุกรรมผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมา ผิวหนังก็จะไวและแพ้ได้ ง่ายแม้แต่เหงื่อของตัวเอง จึงทำให้เกิดผื่นขึ้นมา
  • ผื่นแพ้ผ้าอ้อม การปล่อยให้ผิวหนังของเจ้าตัวน้อยที่บอบบางเปียกชื้น หรือหมักหมมเพียงนิด ก็จะทำให้เขาเป็นผื่นผ้าอ้อม จะเกิดเชื้อรา Candida แทรกซ้อนตำแหน่งเดียวกับที่เป็นผื่นผ้าอ้อม กระจายลามแดงเป็นเม็ดเล็กๆ อาจลาม
  • ผื่นลมพิษ จะมีลักษณะเป็นผื่นบวมแดง มีขอบนูนชัดเจน จะเป็นๆ หายๆ มีอาการคัน ยิ่งถ้าลูกเกาก็จะยิ่งกระตุ้นให้มีผื่นมากขึ้นและคันมากขึ้น สาเหตุของลมพิษนั้นเกิดจากการแพ้สารเคมีหรือแพ้อาหารเป็นส่วนใหญ่

ถ้ายังทานนมแม่ แม่ควรระวังการกิน

ถ้าเกิดว่าลูกยังกินนมแม่อยู่นั้น แม่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่สงสัยว่าแพ้ เพราะการที่คุณแม่กินอะไรเข้าไปก็จะส่งต่อถึงลูกได้ ดังนั้นช่วงนี้คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจจะแพ้ได้ เช่น อาหารทะเล อาหารรสจัด ถั่ว เป็นต้น

สังเกตและจดบันทึกการกินของลูก

หากลูกเริ่มมีอาการแพ้แล้ว คุณแม่ควรเริ่มสังเกตและจดบันทึกการกินของลูก เพื่อจะได้จับสังเกตว่าลูกกินอะไรแล้วเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ขั้นตอนนี้ควรจดให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยอาการและอาหารที่แพ้ร่วมกับหมอได้เป็นอย่างดีค่ะ

ปรึกษาคุณหมอเพิ่มเติม

ถ้าเกิดว่าอาการของลูกน้อยเกินกว่าที่จะเยียวยาด้วยตัวเองได้นั้น คุณแม่ควรพาลุกน้อยไปปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุด เพื่อจะได้นำลูกน้อยและบันทึกที่จดเอาไว้ทั้งอาหารการกินและอาการแพ้มาให้คุณหมอดูและร่วมวินิฉัยไปด้วยกันเพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาค่ะ

ทายารักษาตามอาการ

เมื่อไปหาหมอเพื่อปรึกษาอาการของลูกน้อยแล้ว มาถึงขั้นตอนของการทายาเพื่อรักษาอาการลูกน้อย ซึ่งยาทาแก้ผื่นคันสำหรับทารกที่ใช้โดยทั่วไปมีดังนี้

1. น้ำมันมะกอก เบบี้ออยล์ ในกรณีผื่นที่เกิดจากต่อมไขมันป้องกันไม่ได้ เพราะเป็นฮอร์โมนที่เจ้าตัวน้อยได้รับจากคุณแม่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จึงต้องรอเวลาที่ฤทธิ์ของฮอร์โมนในตัวของเขาหมดไป มันก็จะหายไปเอง ระยะเวลาแล้วแต่จะได้รับฮอร์โมนมามากหรือน้อย แต่สามารถดูแลให้จางหรือเบาบางได้ด้วยการใช้น้ำมัน เช่น น้ำมันมะกอก เบบี้ออยล์ ฯลฯ นวดทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ให้สะเก็ดมันนุ่ม แล้วค่อยเช็ดหรือสระออก สะเก็ดก็จะหลุดออก แต่ถ้าปล่อยให้สะเก็ดแห้งแข็งอยู่อย่างนั้น อาจไปขูดหนังศีรษะให้เป็นแผลติดเชื้อได้

2. ยาแก้อักเสบ 0.02% T.A. หรือครีมธรรมดาจำพวก Brand Cream จะใช้ในส่วนผื่นแดงบริเวณที่ไม่มีเส้นผมหรือขน เช่น แก้ม หลังหู ซอกคอ ขาหนีบ ฯลฯ โดยทาบางๆ เพื่อไม่ให้ผิวหนังเป็นขุยลอก หรือควรปรึกษาคุณหมอ

เรื่องน่ารู้ การทาคาลาไมน์ในกรณีนี้ช่วยได้ในช่วงแรก แต่ถ้าเนื้อแป้งในคาลาไมน์อาจเกาะติดรูต่อมไขมัน อาจทำให้อาการแย่ลงในภายหลัง

3. ซิงค์ ออกไซด์(zinc oxide) เป็นสารที่ใช้ในทางการแพทย์ มีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบ ลดอาการคัน ทำให้ผื่นผิวหนังแห้งลง และมีรายงานว่าช่วยยับยั้งป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ เมื่อซึมสู่ผิวหนังจะเป็นประโยชน์ต่อการสมานสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ

4. ลดการระคายเคืองผิวหนัง โดยให้โลชั่น ครีมหรือออยเม้นท์ช่วยเคลือบผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ ชโลมทาผิวหนังบ่อยๆ หรือทาทันทีหลังอาบน้ำหรือหลังแช่ในอ่างน้ำ 15-20 นาที โดยทาภายใน 3 นาที ก่อนที่น้ำที่ผิวจะระเหย

5. ลักษณะการอักเสบของผิวหนังแบบเฉียบพลัน มีน้ำเหลืองไหลซึมออกมาจากรอยผื่นจะรักษาโดยใช้น้ำเกลือแบบเดียวกับน้ำเกลือล้างจมูก ประคบแผลไปเรื่อยๆ จนกว่าการไหลซึมของน้ำเหลืองจะแห้งลง เด็ก ๆ มักชอบวิธีนี้เพราะไม่แสบและแผลจะแห้งไปเอง

เมื่อรู้วิธีรับมือเมื่อลูกน้อยมีผดผื่นและรักษาจนหายแล้ว หลังจากนั้นคุณแม่ควรให้ลูกหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้และหมั่นสังเกตถึงความผิดปกติของลูกน้อยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ช่วยลูกได้อย่างทันท่วงทีค่ะ

ที่มา

 

Writer Profile : giftoun


  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



สายด่วนที่คุณแม่ควรจดเบอร์ไว้
ชีวิตครอบครัว
9 วิธีแก้ปัญหาลูกน้อยชอบอมข้าว ได้ผล 100%
กิจกรรมของครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save