fbpx

พ่อแม่ต้องระวัง โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็ก ( SMA )

Writer : OttChan
: 12 มิถุนายน 2563

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA (Spinal Muscular Atrophy) เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงของเด็กซึ่งจะต่างจากการโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงของผู้ใหญ่ ALS ( Amyotrophic lateral sclerosis) เพราะอาการนั้นสามารถเกิดได้ตั้งแต่แรกเกิดและอาจส่งผลให้ระยะเวลาของลมหายใจลูกน้อยสั้นกว่าคนทั่วไปจนน่าใจหาย เช่นนั้นแล้วคุณพ่อคุณแม่จะต้องทำความเข้าใจและหมั่นสังเกตลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดไว้ว่าเข้าข่ายหรือหากเป็นแล้วจะต้องช่วยเหลืออย่างไรบ้าง

เรามาดูกันดีกว่าเพื่อหาวิธีช่วยดูแลและทำความเข้าใจกับโรคนี้ให้มากขึ้นค่ะ

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA ของเด็กเป็นอย่างไร

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (SMA) เป็นโรคที่พบได้ในวัยเด็กนั้นมากเป็นอันดับ 2 รองลงมาเลยจากโรคธาลัสซีเมียหรือภาวะโลหิตจางโดยอัตราส่วนสามารถพบได้ถึง 1 ใน 30 คนเลยที่จะเป็นโรคนี้ และที่มาของโรคก็มักเกิดจากความผิดปกติของกรรมพันธุ์ในยีนด้อย ซึ่งอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้นจะส่งผลให้สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกาย มีความผิดปกติต่อการส่งคำสั่งจากไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อซึ่งอาการของเด็กๆ ที่เป็นโรคนี้ที่เห็นปัญหาได้ชัดคือ

  • ไม่สามารถกลืนอาหารเองได้
  • กล้ามเนื้อลีบแบน
  • มีปัญหาเกี่ยวกับข้อกระดูก
  • เกิดอาการแทรกซ้อนในระบบหายใจ
  • เสียการควบคุมศีรษะและคอ
  • พัฒนาการช้า

 

ประเภทของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีอะไรบ้าง

  1. แบบที่ 1 เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่มีอาการรุนแรงที่สุด สามารถเสียชีวิตได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 เดือนแรกเพราะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว, ต้องพึ่งพาเครื่องช่วยหายใจอยู่ตลอดเวลา สามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 ปี
  2. แบบที่ 2 มีอาการรุนแรงน้อยกว่า เกิดขึ้นได้ในช่วงอายุ 6-12 เดือน สามารถเติบโตต่อไปได้อีกสักระยะ แต่ทว่า ร่างกายนั้นอาจไม่สามารถใช้งานได้ดีสุด ต้องพึ่งพาตัวช่วยอย่างรกเข็นหรือเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปตลอดและอาจมีความเสี่ยงทั้งภาวะทางเดินหายใจล้มเหลวหรือกระดูกสันหลังคด
  3. แบบที่ 3 จะแสดงอาการหลังช่วงอายุ 1 ปีครึ่งเป็นต้นไป มีความอ่อนแอของร่างกายสูง เหนื่อยหอบง่าย สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้แต่ทว่าไม่นานและอาจต้องพึ่งพาอุปกรณ์อยู่ดีเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุที่โตขึ้น
  4. แบบที่ 4 ทุกอย่างจะเป็นปกติจนอายุเกิน 18 ปี อาการจะเริ่มแสดงออก ทั้งอาการล้าของกล้ามเนื้อและระบบหายใจของร่างกายที่อ่อนแอลง

 

สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง



  • กรรมพันธุ์ เป็นปัจจัยแรกๆ หรือสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุนี้มากที่สุดแล้วในบรรดาสาเหตุทั้งหมด โดยการติดต่อนั้นจะมาจากการที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะในการเป็นซึ่งปัจจุบันนี้สามารถตรวจสอบได้ว่ามีโอกาสจะเป็นหรือไม่ก่อนตัดสินใจตั้งครรภ์ เช่นนั้นแล้วควรตรวจเช็คห้ดีก่อนมีเจ้าตัวน้อยจะลดความเสี่ยงได้เยอะ
  • การอักเสบ เกิดขึ้นได้น้อยมากแต่ก็ใช่ว่าไม่มี จะเป็นอาการอักเสบขึ้นตามจุดต่างๆ จนไม่สามารถใช้งานได้ อ่อนแรงและรู้สึกเจ็บปวดตามตำแหน่งนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมือหรือข้อเท้าและหากเกิดขึ้นภายในร่างกายก็อาจมีอาการคล้ายการแพ้ภูมิในตนเองอีกด้วย
  • การติดเชื้อ สามารถพบได้บ่อยแต่ไม่เท่าการเกิดจากกรรมพันธุ์ เกิดจากการติดเชื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้วมีการลุกลามซึ่งแน่นอนว่าสำหรับเด็กเล็กๆ นั้นยังไม่มีภูมิต้านทานเท่าผู้ใหญ่ ยิ่งระบบที่ติดเชื้อเป็นระบบทางเดินหายใจหรือระบบทางเดินอาหารแล้ว ก็ยิ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะป่วยเรื้อรังและกลายเป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้ออ่อนแรงในที่สุด

วิธีรับมือเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

อันดับแรกเลยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ขึ้นในการมีบุตร คุณพ่อคุณแม่จะต้องทำการตรวจให้ถี่ถ้วนก่อนว่า หากมีเจ้าตัวน้อยด้วยกันแล้ว เปอร์เซ็นที่จะทำให้ลูกออกมาแล้วมีสิทธิ์เป็นโรคนี้มีมากหรือน้อยเพียงไรด้วยการเจาะเลือดเพื่อตรวจว่ามีใครคนใดคนหนึ่งเป็นพาหะของโรคนี้หรือไม่ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการรอผล ซึ่งหากมีแล้วล่ะก็จะต้องได้รับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งว่าควรทำอย่างไรต่อไปเมื่อต้องการสร้างครอบครัวจริงๆ

แต่ในกรณีที่ไม่ทราบและให้กำเนิดลูกน้อยมาร่วมกันแล้วพึ่งมีอาการหรือตรวจวินิจฉัยพบ อย่างแรกที่จะต้องทำก่อนเลยคือการตั้งสติและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นค่ะเพราะในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาหายได้ครบ 100% หรืออาจไม่สามารถหายขาดได้แม้จะได้รับการดูแลดีมากแค่ไหนก็ค่ะ เพราะฉะนั้นในกรณีที่เกิดขึ้นแล้วคุณพ่อคุณแม่อาจต้องมีการดูแลตามอาการดังต่อไปนี้

  • ฟื้นความรู้สึกและความเศร้าให้ไวเท่าที่จะทำได้
  • เตรียมเงินและความพร้อมในการดูแลให้มากหากตัดสินใจจะเลี้ยงดูให้ดีที่สุด
  • รักษาตามอาการไปทีละขั้นด้วยความใจเย็น
  • หมั่นสังเกตอาการของลูกและเรียนรู้วิธีการดูแลผู้ป่วยโรคนี้เบื้องต้นไว้ว่าจะเป็นการช่วยใส่อุปกรณ์หายใจ, การยกหรืออุ้มผู้ป่วยติดเตียง
  • ให้กำลังใจทั้งตัวลูก คนรักและตนเองอยู่สม่ำเสมอ

ที่มา : samitivejhospitalpanthupark , samitiveamarinbabyandkids

Writer Profile : OttChan

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว
4 พฤศจิกายน 2563
เมื่อผม…
ชีวิตครอบครัว
เมื่อผม…
31 มีนาคม 2563
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save