fbpx

แม่จ๋ารู้ไหม ? "น้องเน่า" ก็ดีต่อใจของหนูเหมือนกัน

Writer : Lalimay
: 24 กันยายน 2564

เด็กๆ บ้านไหนติดผ้าเน่าหรือตุ๊กตาเน่าบ้างไหมคะ ? เจ้าตัวเล็กบางคนอาจจะใช้มานานจนเปื่อยยุ่ย มีกลิ่นตุๆ เพราะทั้งกอด ทั้งดูด ทั้งน้ำลายไหลใส่ แต่ยังไง๊ยังไงก็ไม่ยอมให้ซักหรือเปลี่ยนผืนใหม่ จนทำให้คุณพ่อคุณแม่บางคนแอบเอาไปทิ้งก็มี แต่รู้ไหมคะว่า ‘น้องเน่า’ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโตตามปกติของเด็กเล็ก คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลเลยค่ะ

เหตุผลที่ลูกติดน้องเน่า

แรกเริ่มเด็กทารกจะคิดว่าเขากับแม่คือคนๆ เดียวกัน แต่พอเวลาผ่านไปถึงค่อยๆ รู้ว่าเขากับแม่เป็นคนละคน จึงทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจและเป็นกังวล ซึ่ง “น้องเน่า” ที่มีชื่อเรียกทางจิตวิทยาว่า วัตถุเปลี่ยนผ่าน (Transitional Object) จึงเป็นตัวช่วยให้ลูกน้อยเปลี่ยนผ่านจากภาวะเป็นหนึ่งเดียวกับแม่ สู่ภาวะที่ตระหนักรู้ว่าแม่กับตัวเขาเป็นคนละคนกัน

ดังนั้นน้องเน่าคือตัวละครลับเป็นเหมือนตัวแทนของแม่ที่ทำให้เด็กรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย ซึ่งจะมาช่วยให้ลูกรู้สึกว่า แม่ยังอยู่กับเขาไม่ได้หายไปไหน อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้เด็กรู้สึกมั่นคงและสบายใจ การที่ลูกมีน้องเน่าจึงถือเป็นสัญลักษณ์ว่า เด็กมีความผูกพันต่อพ่อแม่ค่อนข้างสูง

ข้อดีของการมีน้องเน่า

เมื่อลูกรู้ว่า ‘น้องเน่า’ ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของแม่จะอยู่ข้างๆ เขาเสมอและไม่หายไปไหนแน่นอน ก็จะช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นคงทางใจและพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีข้อดีอีกมากมายเลยค่ะ

  • ช่วยให้ลูกผ่อนคลาย 
  • ช่วยลดความกระวนกระวายและความเครียด
  • ลูกจะรู้สึกปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา 
  • ลูกกล้าออกไปเผชิญโลกกว้างมากขึ้น 

ช่วงอายุที่ลูกจะติดน้องเน่า

ปกติแล้ว เด็กจะเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดียวกับพ่อแม่ตอนอายุประมาณ 6 เดือน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถพาน้องเน่ามาไว้ข้างๆ ลูกได้ตั้งแต่ 4 เดือนเลยค่ะ แล้วลูกก็จะเริ่มรู้สึกผูกพันไปเรื่อยๆ จนถึงกระทั่งประมาณ 5-6 ขวบ เขาจะรับรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าแม่ยังคงอยู่กับเขาเสมอ และไม่มีวันทอดทิ้งเขาไปไหน ก็จะค่อยๆ เลิกกับน้องเน่าเองโดยอัตโนมัติ

แต่เด็กบางคนก็อาจผูกพันกับน้องเน่ามากๆ จนรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ต้องกอดต้องดมและติดมาจนถึงเป็นผู้ใหญ่ก็มี แต่อาจปรับเปลี่ยนจากติดตลอดเวลามาเป็นแค่ตอนกลางคืน ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องปกตินะคะ ไม่ต้องกังวลไป

น้องเน่าไม่จำเป็นต้องเน่าเหมือนชื่อ

เด็กๆ หลายคนอาจจะไม่ชอบให้เราไปยุ่งกับน้องเน่าของเขา เพราะกลิ่นตุๆ ที่คุ้นเคยจะหายไปจนทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายใจ แต่เราอาจต้องคุยกับลูกนะคะว่าน้องเน่าก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการอาบน้ำเหมือนกับหนู คุณแม่อาจจะชวนลูกมาซักน้องเน่าด้วยกัน ให้เขาเป็นคนหยิบใส่เครื่องซักผ้า พอซักเสร็จก็เอามาตากด้วยตัวเอง เพื่อให้เขารับรู้ว่าน้องเน่าไม่ได้หายไปไหน แต่จะกลับมาหาเขาพร้อมความสะอาดและกลิ่นหอมชื่นใจ

เป็นยังไงบ้างคะกับความสำคัญของน้องเน่า ที่สำหรับพ่อแม่อย่างเราอาจมองว่าเป็นแค่ตุ๊กตา แต่แท้จริงแล้วมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับลูกมากๆ เลยนะคะ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงไม่จำเป็นจะต้องบังคับให้ลูกเลิกกับน้องเน่า หรือแอบเอาไปทิ้งโดยเด็ดขาดนะคะ เพราะนั่นเหมือนเป็นการทำร้ายจิตใจและความรู้สึกของเจ้าตัวเล็กไม่ใช่น้อยเลย

แต่ถ้าเด็กบ้านไหนที่ไม่มีน้องเน่า คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ลูกจะมีพัฒนาการตามวัยที่ดีจากการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

ข้อมูลอ้างอิงจาก

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save