fbpx

ทำไมการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า จึงสำคัญ

Writer : nunzmoko
: 23 สิงหาคม 2562

วัคซีนมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ วัคซีนพื้นฐานที่เด็กควรได้รับและวัคซีนเสริม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจมองว่าวัคซีนเสริมนั้นไม่จำเป็น แต่จริงๆ แล้ววัคซีนเสริมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยดูแลป้องกันสุขภาพของลูกน้อยให้ห่างไกลจากความเจ็บป่วยที่พ่อแม่ไม่คาดคิดได้

วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโรต้า เป็นวัคซีนสำคัญที่แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำ ไปดูกันดีกว่าว่าทำไมวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโรต้าจึงสำคัญและเป็นวัคซีนที่แพทย์ถึงแนะนำ

โรตาไวรัสคืออะไร ทำไมการฉีดวัคซีนจึงสำคัญ

โรตาไวรัส (Rotavirus) เป็นไวรัสที่ติดเชื้อในทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องร่วงและอาเจียนอย่างรุนแรง ทารกส่วนใหญ่ป่วย อาเจียน หรือมีอาการท้องร่วงในบางครั้งและฟื้นตัวเต็มที่ใช้เวลาสองสามวัน แต่อาการท้องร่วงที่เกิดจากโรตาไวรัส สามารถทำให้เกิดการขาดน้ำในร่างกายได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทารกและเด็กเล็กและอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล

  • โรตาไวรัสเป็นเชื้อโรคที่ป้องกันได้ยากเมื่อเทียบกับเชื้ออื่น
  • การได้รับวัคซีนป้องกันท้องเสียจากไวรัสโรต้าจึงเป็นเรื่องจำเป็น
  • วัคซีนจะช่วยป้องกันความรุนแรงของโรค หรือลดโอกาสการเป็นโรคนี้ได้

เด็กที่ควรได้รับวัคซีน

  • ครั้งที่ 1 คือ อายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป
  • เด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี นับเป็นช่วงอายุที่พบเชื้อบ่อยที่สุด
  • โรคนี้เวลาเป็นแล้วเด็กจะมีอาการรุนแรงจนมักต้องนอนโรงพยาบาล เพราะว่าเด็กจะอาเจียนและท้องเสียงรุนแรง

เชื้อไวรัสโรต้าติดต่ออย่างไร

  • เชื้อไวรัสโรต้าเป็นเชื้อที่ติดต่อและเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
  • ติดต่อผ่านทางปากผ่านการกินหรือการเอานิ้วหรือมือเข้าปากของเด็ก
  • โดยเชื้อโรคนี้จะแฝงตัวอยู่ตามสิ่งของ ของเล่น

วิธีป้องกันลูกน้อยจากไวรัสโรต้า

  • เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่เพราะน้ำนมแม่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้เด็ก
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกอยู่เสมอ
  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนอุ้มหรือสัมผัสกับเด็ก
  • หมั่นทำความสะอาดของเล่นรวมถึงบริเวณห้องนั่งเล่นสม่ำเสมอ
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกันหรือป้องกันด้วยวัคซีนไวรัสโรต้า เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วย และลดความรุนแรงของโรค

เชื้อไวรัสโรต้านี้จะมีชีวิตอยู่เป็นเวลาหลายวัน เมื่อลูกน้อยนำสิ่งของที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่เข้าปาก ก็จะทำให้เชื้อนี้เข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้เด็กมีอาการไข้ อาเจียน ท้องเสีย ในรายที่มีอาการรุนแรงมากร่างกายอาจขาดน้ำและเกลือแร่จนเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นเราจึงควรป้องกันและเสริมภูมิคุ้มกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ

ที่มา – paolohospital,honestdocs

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



สิทธิประโยชน์ “ฝากครรภ์ฟรี” ปี 60
ข้อมูลทางแพทย์
5 ข้อควรรู้ก่อนพาลูกน้อยไปว่ายน้ำ
ข้อมูลทางแพทย์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save