fbpx

อยากให้เจ้าตัวเล็กได้ลองกินเผ็ด ควรเริ่มจากตรงไหนดีนะ?

Writer : OttChan
: 17 มกราคม 2565

คิดว่าหลายๆ บ้านเองก็คงมีบ้างใช่ไหมคะที่ทานเผ็ดกันทั้งบ้าน หรือชื่นชอบที่จะทานอาหารรสจัด แต่คราวนี้การที่จะให้เจ้าตัวเล็กของเรามาร่วมวงโต๊ะทานด้วย ในบางทีเขาเองก็อยากลองทานเผ็ดบ้าง หรือทางผู้ใหญ่อยากให้ลองดูว่าทานได้หรือไม่ ยิ่งกับประเทศไทยเองที่มีเมนูอร่อยหลายๆ อย่างเลยที่มีส่วนผสมของความเผ็ดจนได้รสชาติกลมกล่อม จึงเป็นเรื่องที่ควรให้เด็กๆ ได้ลองมีประสบการณ์ทานดุซักครั้งและให้เขได้ตัดสินใจว่าจะชอบหรือไม่ค่ะ

เอาล่ะ! เรามาดูกันดีกว่า ว่าอายุเท่าไหร่จึงสามารถทานได้, หากแพ้ควรหลีกเลี่ยงอย่างไร รวมไปถึงเมนูเผ็ดที่เหมาะกับการฝึกทานมีอะไรบ้าง มาลองดูไปด้วยกันเลยค่ะ

การทานเผ็ดต้องดูความสมัครใจของลูก

อันดับแรกที่สำคัญที่สุดคือการถามความสมัครใจของคนเก่งบ้านเราค่ะ ว่าอยากลองทานหรือไม่ หากลูกรู้สึกอยากลอง หรือมีความสนใจมากๆ ก็อาจให้ลองได้ในปริมาณไม่มาก แต่หากสามารถทานได้ และชื่นชอบ จึงค่อยแนะนำเมนูรสจัดอื่นๆ ต่อไปได้โดยให้อยู่ในความดูแลของเราเสมอเวลาให้รับประทาน

ทำความรู้จักที่มาความเผ็ดก่อนทาน

อาหารรสเผ็ดส่วนมาก มักมีส่วนประกอบจากพริกซึ่งพริกนั้นมีสาร แคพไซซิน หรือสารให้ความเผ็ดอยู่ซึ่งสารนี้ในพริกจะมีปริมาณที่ไม่เท่ากันในแต่ละสายพันธุ์ซึ่งสายพันธุ์ที่มีสารแคพไซซินมากที่สุดคือพริกขี้หนู, พริกเหลือง, พริกชี้ฟ้า และมีความเผ็ดน้อยสุดคือพริกหยวก แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีผักชนิดอื่นนอกจากพริกอีกที่ให้ความรู้สึกเผ็ดร้อนได้อย่างหัวหอม, ขิง, ข่าและกระเทียม

ดังนั้นการทานเผ็ดนั้นควรจะต้องดูชนิดของพริกหรือระดับความเผ็ดให้ดีก่อนจะเริ่มทาน รวมไปถึงมีการทดลองว่า เด็กๆ ในบ้านนั้นมีอาการแพ้ แคปไซซินหรือไม่ เพราะหากมีอาการแพ้แล้วล่ะก็ ควรจะงดหรือไม่ให้ทานสารความเผ็ดจากพริกเลยจะดีที่สุดค่ะ

อาการไหนที่ทำให้รู้ว่าลูกแพ้สารในพริก

เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่ากับการลองทานเผ็ดคือเรื่องของอาการแพ้ หากเราต้องการทราบว่าลูกเราแพ้สารให้ความเผ็ดในพริก ต้องสังเกตอาการที่เกิดขึ้นได้ดังนี้หลังรับประทานของเผ็ดเข้าไปว่าเป็นเช่นไรเพราะบางทีอาการอาจอันตรายจนทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลเลยค่ะ

  • แสบปาก, แสบในกระพุ้งแก้มจนทนไม่ไหว
  • ปวดท้อง, แสบร้อนในท้อง
  • ท้องอืด, ท้องเฟ้อ ทำให้มีกรดในกระเพาะมากไป
  • มีอาการเหมือนเป็นภูมิแพ้, หายใจขัด, คัดจมูก

อายุเท่าไหร่ถึงทานเผ็ดได้

โดยปกติแล้วเด็กเล็กมาก จะยังไม่ควรให้ลองทานเผ็ดเพราะว่าสารในพริกนั้นให้รสร้อน และแสบ ดังนั้น การทานเผ็ดจึงควรเริ่มจากอาหารที่มีรสหรือกลิ่นที่ฉุนขึ้นก่อน แล้วจึงเริ่มให้ทานของที่มีส่วนผสมความเผ็ดจริงของพริก ซึ่งสามารถเรียงลำดับได้ดังนี้

  • อายุเกิน 6 เดือน เริ่มให้ลองทานหัวไชเท้าต้มสุกจนเนื้อนุ่มละลายไม่ต้องเคี้ยว
  • อายุเกิน 1 ขวบ เริ่มให้ลองทานกระเทียมที่ผ่านความร้อนมาแล้ว
  • อายุ 3-4 ขวบ เริ่มให้ลองทานหัวหอมหรือผักกลิ่นแรงอื่นๆ อาทิ ขิง, โหระพา, กะเพรา ซึ่งเมนูเหล่านี้สามารถนำไปทอดกรอบได้เพื่อให้เกิดความสนุกในการรับประทาน
  • อายุ 5-6 ขวบ เริ่มให้ลองได้ทานพริกได้โดยเริ่มไต่ระดับความเผ็ดจากพริกหยวกก่อน แล้วจึงไปเป็นพริกชนิดอื่นเมื่อเห็นว่าเขาสามารถทานเผ็ดได้

ประโยชน์ของการทานเผ็ด

จากข้อก่อนที่พูดเรื่องอาการแพ้ไปแล้วนั้น หากเจ้าตัวเล็กของเราไม่ได้มีอาการแพ้และทานเผ็ดได้ ก็จะมีข้อดีอยู่หลายข้อเลยทีเดียวสำหรับการทานเผ็ดซึ่งประโยชน์ทางด้านโภชนาการของรสชาติเผ็ดมีดังนี้

  • ในพริกมีวิตามินซีสูง แต่ต้องเป็นพริกสด ไม่ผ่านความร้อน
  • บรรเทาหวัด ช่วยให้หายใจสะดวกยิ่งขึ้น
  • ลดปริมาณคอเรสเตอรอลได้
  • กระตุ้นให้หลั่งสารเอ็นโดฟินออกมา ทำให้แจ่มใส
  • ช่วยการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้น

เราจะเห็นได้ว่า สารให้ความเผ็ด หรือพริกนั้นก็มีประโยชน์ทางโภชนาการมากๆ เลยใช่ไหมคะ แต่อย่าลืมนะคะ ทุกอย่างจะดีได้ต้องมีความพอดี การทานเผ็ดเองก็เช่นกันที่ต้องทานในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย และการรับไหวของกระเพาะ เพราะหากทานเผ็ดมากไป ก็อาจส่งผลร้ายหลายๆ อย่างตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง, ทำให้ติดกินอาหารรสจัดเกินจำเป็น, มีปัญหาการขับถ่าย ดังนั้นควรทานในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ

ที่มา : parentgenalpha ,rakluke , thaihealth

Writer Profile : OttChan

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save