fbpx

สัญญาณปัญหา "การพูดน้อยของลูก" ที่พ่อแม่ควรรู้

Writer : Jicko
: 11 กรกฏาคม 2562

พัฒนาการของลูกสำคัญเสมอสำหรับพ่อแม่ โดยเฉพาะการพูด ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่รอคอย แต่หากลูกน้อยของเราพูดช้า หรือมีพัฒนาการช้ากว่าปกติล่ะ คุณพ่อคุณแม่จะทราบได้อย่างไร

วันนี้ ParentsOne จึงรวบรวมสัญญาณปัญหา ของลูกพูดน้อยมาฝากคุณพ่อคุณแม่ที่มักเป็นกังวลกับเรื่องนี้กัน

อายุเท่าไหร่ถือว่าลูกพูดช้า

เด็กจะมีพัฒนาการพูดผิดปกติก็ต่อเมื่อ อายุครบ 2 ขวบแล้ว แต่ยังไม่สามารถสื่อสารเป็นคำพูที่มีความหมายได้รู้เรื่อง มีความเข้าใจน้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน หรือชอบพูดคำศัพท์สั้นๆ เพียงคำเดียว หรือสื่อสารกับคนอื่นไม่ได้เลย แบบนี้ถือว่าน่าสงสัยว่าจะเข้าข่ายผิดปกติค่ะ คุณพ่อคุณแม่อาจพาลูกไปพบแพทย์เพราะตรวจให้แน่ใจ เพราะความผิดปกติเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับความผิดปกติทางการได้ยินร่วมด้วยนั้นเองค่ะ

สัญญาณปัญหาที่พ่อแม่ควรรู้

1.ลูกเล่นเสียงตามวัยหรือไม่ 

แต่ละช่วงวัยจะมีพัฒนาการเปล่งเสียงที่แตกต่างกัน คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตได้ดังนี้

  • อายุ 2-3 เดือน : ลูกจะเริ่มพูดชัดขึ้น โดยการเปล่งเสียงอ้อแอ้ๆ ให้พ่อแม่ได้รับรู้
  • อายุ 5-6 เดือน : ลูกจะมีการพัฒนาขึ้นมาอีกสะเต็บ ลูกจะเริ่มเล่นน้ำลาย เป่าปาก มีเสียงจากลำคอได้อยู่บ่อยๆ นั้นเองค่ะ
  • อายุ 10-15 เดือน : ลูกจะเริ่มพูดออกมาเป็นคำพูด เป็นคำๆ ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักคำศัพท์ง่ายๆ ในช่วงอายุนี้จะดีมากเลยค่ะ
  • อายุ 3-4 ขวบ : ลูกจะเร่ิมสื่อสารได้บ้างแล้ว สามารถพูดโต้ตอบได้บ้าง แต่จะพูดไม่ได้ในประโยคที่แปลกใหม่ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

2.เคยพูดได้ อยู่ๆ ก็หยุดพูด

คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องสังเกตกันสักหน่อยว่า ที่ลูกหยุดพูดไปนั้นเป็นเพราะอะไร เช่น มีเหตุการณ์ทำให้เขาตกใจ เปลี่ยนพี่เลี้ยง เปลี่ยนคนดูแลที่ไม่คุ้นเคย เหล่านี้อาจจะทำให้เด็กๆ หยุดพูดได้นะคะ แต่ถ้าสภาพแวดล้อมเหมือนเดิมแล้วเขาหยุดพูด นั้นก็อาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าปกติได้นั้นเอง

3.คำสั่งที่เคยทำได้ แต่กลับทำผิด

คุณพ่อคุณแม่ลองทดสองสิ่งที่ลูกไม่เคยชิน เช่น ถามลูกเมื่อชี้ไปที่สิ่งของ หรืออวัยวะง่ายๆ ในร่างกาย ว่าเขาตอบได้หรือไม่ เพื่อทดสอบความเข้าใจ อาจจะต้องสอนเขาก่อน หากครั้งแรกทำได้หรือเคยทำได้ แล้วอยู่ๆ ก็ไม่พูดหรือตอบไม่ได้ นั้นก็แสดงว่าหนูน้อยอาจจะมีความผิดปกติได้ผนั้นเอง

4.มีการเจ็บป่วย

การที่ลูกพูดน้อยหรือไม่ยอมพูด บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยของร่างกาย มีการติดเชื้อหรือไม่สบายหรือชัก ที่หมดสติไป พอฟื้นขึ้นมาก็ไม่ยอมพูด หรือบางกรณีอาจจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับโรคหรืออุบัติเหตุโดยตรง ซึ่งอาจจะกระทบกับปัญหาทางด้านการพูด

5.จำนวนครั้งที่พูดได้

คุณพ่อคุณแม่หากเมื่อลูกถึงวัยที่ต้องพูดแล้ว ยังพูดน้อยหรือไม่ยอมพูดในช่วงวัยที่สมควรจะพูด นั้นก็หมายความว่า ลูกมีความผิดปกติเช่นกันค่ะ หมั่นลองสังเกตบ่อยๆ ว่าลูกของเราพูดมากหรือน้อยเพียงใดนะคะ

6.มีความหลากหลายของเสียง

ความหลากหลายของเสียง นั้นอาจจะหมายถึงโทนเสียง น้ำเสียง ถ้าลูกพูดเก่งแต่ไม่มีความหลากหลายของเสียง แบบนี้ชัดเจนเลยว่ามีปัญหาการพูดแล้วนะคะ เวลาคุณพ่อคุณแม่สังเกตควรต้องใช้เกณฑ์มาตรฐานทั่วไปมาเปรียบเทียบด้วยนั้นเองค่ะ

 

ทั้งหมดนี้ก็คือสัญญาณที่พ่อแม่ควรสังเกตลูกๆ เกี่ยวกับพัฒนาด้านการพูด ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีนั้นก็คือ การดูแลเอาใจใส่และความใกล้ชิดกับลูกนั้นเองค่ะ เพราะเด็กๆ มักจะมีพฤติกรรมการเลียนแบบจากคนใกล้ชิดเป็นหลัก พยามสื่อสารกับลูก เล่นกับเขา พูดคุยบ่อยๆ ให้เขาได้มีพัฒนาการและกล้าที่จะพูดนั้นเอง เพียงเท่านี้หนูๆ ก็จะมีพัฒนาการด้านการพูดตามวัยแล้วค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Paolohospital, mamaexpert, Islammore

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



จะรู้ได้ยังไง ว่าลูกเป็น “สมาธิสั้น”
เตรียมตัวเป็นแม่
ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
CAR SEAT กับเด็กแต่ละช่วงอายุ
ข้อมูลทางแพทย์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save