fbpx

สร้างพฤติกรรมที่ดีให้ลูกด้วยการเข้าใจทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันต์ ฟรอยด์ตามช่วงอายุ

Writer : Lalimay
: 16 สิงหาคม 2561

ซิกมันต์ ฟรอยด์ เป็นนักจิตวิทยาที่มีความเชื่อว่า บุคลิกภาพของผู้ใหญ่แตกต่างกัน เนื่องมากจากประสบการณ์ของแต่ละคนเมื่ออยู่ในวัยเด็ก ดังนั้นการที่เรารู้และเข้าใจพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของลูก จะเป็นการช่วยพัฒนาให้ลูกโตขึ้นมามีพฤติกรรมและบุคลิกภาพที่เหมาะสมได้

วันนี้เราจึงนำทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ของซิกมันต์ ฟรอยด์ในเรื่องของพัฒนาการบุคลิกภาพของมนุษย์ทั้ง 5 ขั้นมาฝากค่ะ เผื่อว่าคุณพ่อคุณแม่จะได้เข้าใจและรับมือกับพฤติกรรมของลูกได้ถูกต้อง

ขั้นปาก (Oral Stage) อายุ 0-18 เดือน

เด็กวัยนี้จะมีความสุขกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปาก เช่น การดูด การเคี้ยว การกัด ซึ่งถ้าเราเลี้ยงดูและให้ลูกพัฒนาและมีความสุขกับการใช้ปากอย่างเหมาะสมก็จะทำให้เขามีบุคลิกภาพที่เหมาะสมในตอนโต คือ รู้จักพูดหรือใช้ปากได้เหมาะกับกาละเทศะ

แต่ถ้าได้รับการตอบสนองที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพในตอนโตได้ เช่น การให้ลูกหย่านมเร็วเกินไป หรือตีลูกเวลาที่เขาเอาของเข้าปาก เมื่อโตขึ้นอาจทำให้เขามีปัญหาบุคลิกภาพที่เรียกว่า “Oral Personality” คือการชอบใช้ปาก เช่น ชอบดูดนิ้ว พูดมาก ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ชอบสูบบุหรี่หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง

ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 18 เดือน – 3 ปี

เด็กวัยนี้จะได้รับความพึงพอใจจากการขับถ่าย ซึ่งจะตรงกับช่วงที่ให้เด็กฝึกขับถ่าย หากพ่อแม่เข้าใจว่าช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาก็จะค่อยๆ สอนให้เขาถ่ายให้เป็นที่เป็นทางด้วยวิธีที่นุ่มนวล การพัฒนาขั้นนี้ก็ไม่มีปัญหา ลูกจะโตขึ้นมามีบุคลิกภาพที่เหมาะสม

แต่ถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจ ใช้การบังคับและเข้มงวดกับลูกมากไป เช่น ต้องถ่ายให้ตรงเวลา ถ้าไม่ทำตามจะถูกลงโทษ ความคับข้องใจในส่วนนี้ก็จะถูกฝังแน่นไปในจิตใต้สำนึก เมื่อโตขึ้นเขาก็จะมีปัญหาทางบุคลิกภาพที่เรียกกว่า “Anal Personality” มีอยู่ 2 แบบ ซึ่งจะแสดงลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเข้มของบุคลิกภาพ คือ

  1. บุคลิกภาพแบบสมบูรณ์ (Perfectionist) จะเกิดกับเด็กที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ คือเป็นคนเจ้าระเบียบ จู้จี้ ย้ำคิดย้ำทำ กังวลมากเกินไปโดยเฉพาะในเรื่องความสะอาด
  2. บุคลิกภาพแบบอันธพาล (Anti social) จะเกิดกับเด็กที่มีบุคลิกภาพเข้มแข็ง คือ เป็นคนไม่ยอมคน ชอบคัดค้านระเบียบแบบแผนที่วางไว้ ไม่มีระเบียบ

นอกจากนี้คนที่มีปัญหาบุคลิกภาพจากช่วง Anal จะเป็นพวกชอบนั่งโถส้วมนานๆ อีกด้วยค่ะ

ขั้นอวัยวะเพศหรือขั้นความรู้สึกทางเพศแบบแฝง (Phallic Stage) อายุ 3 – 5 ปี

เด็กในวัยนี้จะเกิดความรู้สึกทางเพศแบบแฝง หมายถึงความรู้สึกผูกพันต่อพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศตรงกันข้ามกับเด็ก เช่น เด็กผู้ชายจะรักและหวงแหนแม่ โดยในช่วงนี้จะเกิดปมอิจฉาขึ้นมาค่ะ สำหรับเด็กผู้ชายจะเรียกว่าปมเอ็ดดิปุส (oedipus complex) ซึ่งคือการที่เด็กผู้ชายรักแม่มากๆ เลยอิจฉาพ่อเพราะรู้ว่าแม่รักพ่อ จึงพยายามเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อเพื่อให้แม่รักบ้าง

ในขณะเดียวกันปมอิจฉาของเด็กผู้หญิงจะชื่อว่าปมอีเล็คตรา (electra complex) ซึ่งคือการที่เด็กผู้หญิงรักพ่อ เลยอิจฉาแม่และเลียนแบบแม่เพื่อให้พ่อรักนั่นเอง ซึ่งปมอิจฉานี้จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางเพศที่เหมาะสม

ในช่วงนี้ถือเป็นช่วงสำคัญมากๆ เพราะลูกจะเริ่มเลียนแบบพ่อและแม่ ดังนั้นพ่อแม่จึงควรเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องของการวางตัวให้เหมาะสม ถ้าเกิดเด็กเห็นว่าต้นแบบของเขามีพฤติกรรมที่ไม่ดี เด็กก็จะไม่ศรัทธา คือเด็กผู้หญิงจะหันไปเลียนแบบพ่อ ส่วนเด็กผู้ชายจะหันไปเลียนแบบแม่ซึ่งเป็นคนที่เขาศรัทธามากกว่า จึงอาจส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมที่เหมือนเพศตรงข้ามได้

ขั้นแฝง (Latent Stage) อายุ 6-12 ปี

เป็นระยะก่อนที่เด็กจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยรุ่น เด็กวัยนี้จะมุ่งความสนใจไปที่พัฒนาการด้านสังคมและสติปัญญา เป็นช่วงที่เด็กๆ จะถูกมองว่า “แสนรู้” หรือ “แก่แดด” ชอบพูดอะไรที่ดูเป็นผู้ใหญ่ เด็กจะสนใจในทุกๆ เรื่อง พร้อมที่จะเรียนรู้การมีเหตุมีผล และผิดชอบชั่วดี ในช่วงนี้เด็กจะเรียนรู้บทบาททางเพศมากขึ้น จะเล่นหรือจับกลุ่มกับเพศเดียวกัน เริ่มมีเพื่อนสนิทกับเพศเดียวกัน

ในเมื่อเด็กวัยนี้มักจะชอบคิด หรือชอบวิเคราะห์ ดังนั้นพ่อแม่จึงควรให้ลูกคิดเรื่องหนักๆ บ้างตามความสนใจของเขา เช่น การวางแผนงานบ้าน การบ้าน หรือการสร้างวินัยในบ้านให้เขาได้มีโอกาสรับรู้และมีส่วนร่วมในการคิดบ้าง เพื่อช่วยพัฒนาการในด้านนี้ อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องสำหรับผู้ใหญ่ เด็กไม่ควรรู้ค่ะ

ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage) อายุ 12-18 ปี

ระยะนี้เด็กจะสนใจเรื่องเพศอย่างแท้จริง คือจะเริ่มสนใจเพศตรงข้าม มีลักษณะที่บ่งถึงวุฒิภาวะทางอารมณ์หรือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มที่ พ่อแม่ควรคอยสังเกตแต่ไม่จับผิด ที่สำคัญต้องรับฟังลูกอยู่เสมอค่ะ

ข้อมูลอ้างอิงจาก

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save