fbpx

สรุปกฎหมายยุติการตั้งครรภ์แบบเข้าใจง่าย สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมมีเจ้าตัวเล็ก

Writer : OttChan
: 10 กุมภาพันธ์ 2564

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา การมีเจ้าตัวน้อยโดยที่คู่รักหลายๆ คู่ยังไม่พร้อม ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เราต้องพบเจอ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่าย, ความพร้อมในการเป็นพ่อแม่หรือแม้แต่ความพร้อมของร่างกายเองก็มีผลอย่างมากเช่นกัน และหนึ่งทางเลือกที่ไม่ว่าใครก็รู้สึกกลัวคือการยุติการตั้งครรภ์ลงเพราะไม่รู้ว่าจะบาปไหม หรือผิดกฎหมายข้อไหนรึเปล่าเกี่ยวกับการกระทำนี้ ดังนั้นเราจะมาสรุปข้อกฎหมายเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์แบบเข้าใจง่ายให้นะคะ

การยุติการตั้งครรภ์ บาปจริงหรือไม่

ในทางความเชื่อ และสิ่งที่เราเรียนรู้มา หากเรารู้ตัวว่าเราตั้งครรภ์แต่ยังไม่พร้อมต้องการหยุดลง ผู้ใหญ่หรือคนเฒ่าคนแก่มักจะไม่อยากให้ยุติเพราะกลัวบาปกรรม, กลัวว่าจะมีผีติดตาม และรู้สึกอับอายที่ต้องถูกชาวบ้านติฉินนินทาเอา แต่ในความจริงแล้ว จะบาปหรือไม่ จะผิดรึเปล่านั้น อยู่ที่ตัวของผู้ตั้งครรภ์รู้สึกมากกว่าการบอกกล่าวของคนอื่นและสังคม หากผู้ตั้งครรภ์มั่นใจแล้วว่ามันดีต่ออนาคตของผู้ตั้งและหากเป็นโอกาสอื่นที่เหมาะกว่าที่จะได้ตั้งครรภ์ นั่นก็ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับการตัดสินใจค่ะ

มาตรา 301 สำหรับผู้ตั้งครรภ์อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์

ข้ออนุญาต

  • สามารถยุติได้ด้วยตนเองและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • อายุครรภ์ต้องไม่เกิน 12 สัปดาห์สำหรับยุติการตั้งครรภ์
  • การตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้ตั้งครรภ์ไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย

ข้อห้าม

  • อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์และยุติเอง
  • ให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่แพทย์มีใบประกอบวิชาชีพยุติให้

มาตรา 302 สำหรับผู้ช่วยเหลือในการยุติการตั้งครรภ์

ผู้ตั้งครรภ์อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์

  • สามารถช่วยพาไปพบแพทย์หรือซื้อยาสำหรับการยุติมาให้ได้
  • ห้ามช่วยเหลือด้วยการสอดเครื่องมือหรือให้กินยา แม้ตัวผู้ตั้งครรภ์จะยินยอม

ผู้ตั้งครรภ์อายุครรภ์ระหว่า 12-20 สัปดาห์ 

  • ช่วยเหลือได้แค่พาไปพบแพทย์เท่านั้น
  • กรณีผู้ตั้งครรภ์ไม่ยินยอมจะยุติ ห้ามบังคับผู้ตั้งครรภ์ยุติ

มาตรา 305 สำหรับผู้ตั้งครรภ์อายุครรภ์เกิน 12 แต่ไม่ถึง 20 สัปดาห์

  • ผู้ตั้งครรภ์เป็นคนตัดสินใจที่จะยุติเอง ไม่ให้การถูกบังคับจากผู้อื่นหรือบุคคลใกล้ชิด
  • ห้ามยุติด้วยตนเองแต่ต้องให้แพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเท่านั้นในช่วยยุติการตั้งครรภ์เพราะอาจเกิดอันตรายกับร่างกายได้
  • เหตุที่จะยุตินั้นต้องมาจาก การตั้งครรภ์ในวัยที่ไม่เหมาะสม, ถูกข่มขืน, ร่างกายของผู้ตั้งครรภ์อาจเป็นอันตรายหากตั้งครรภ์ต่อไป, ทารกในครรภ์มีปัญหา อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพของทั้งคู่, ผู้ให้บริการทางเพศตั้งครรภ์อย่างไม่ตั้งใจกับผู้มาใช้บริการ
  • การยุติต้องได้รับความเห็นชอบจากแพทย์ผู้ชำนาญและตามหลักเกณฑ์แพทย์สภา

สำหรับผู้ที่อายุครรภ์เกิน 20 สัปดาห์

  • ผู้ตั้งครรภ์ต้องตัดสินใจที่จะยุติเอง จะช่วยเหตุผลใดก็ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นเช่น สุขภาพของผู้ตั้งครรภ์, ทารกอาจมีความผิดปกติของร่างกายหลังคลอด, ถูกข่มขืนหรือกระทำอนาจารจนตั้งครรภ์
  • ได้รับการปรึกษาและยินยอมจากแพทย์ผู้ชำนาญ ว่าหากตั้งครรภ์ต่อไปแล้วอาจส่งผลกระทบได้จริง
  • ดำเนินการยุติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของแพทย์สภาเท่านั้น

 

 

ที่มา : drive.google , facebook ,

Writer Profile : OttChan

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save