fbpx

รวมสาเหตุลูกนอนหลับยากและวิธีแก้ไข

Writer : giftoun
: 20 มิถุนายน 2561

ปัญหาการนอนของลูกถือเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนอนยาก นอนละเมอ นอนฝันร้าย หรือเรื่องอื่นก็ตาม จะมีปัญหาการนอนอะไรบ้าง แล้วจะแก้ได้อย่างไรบ้างนั้น มาดูกันเลยค่ะ

สาเหตุที่ลูกนอนหลับยาก

  • ปัจจัยจากตัวลูกเอง

    • มีความเจ็บป่วยของร่างกายทำให้ลูกมีปัญหาการนอน
    • ลูกมีปัญหาด้านจิตใจหรือระบบประสาท
    • ยาที่ลูกกินอยู่อาจมีผลกระทบกับการนอนได้
    • เป็นนิสัยพื้นฐานของลูกเองที่นอนหลับยากอยู่แล้ว
    • กลัวบางสิ่งบางอย่างที่มาจากจินตนาการของลูกเอง เช่น ผี มอนสเตอร์ สัตว์ประหลาด เป็นต้น
    • ยังห่วงเล่นอยู่เลยไม่อยากนอน

  • ปัญหาจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

    • นอนรวมกันหลายคนจนรบกวนลูก
    • คุณพ่อและคุณแม่นอนดึกจนทำให้ลูกนอนดึกตามไปด้วย
    • สภาพห้องไม่เหมาะกับการนอน
    • ไม่ปลูกฝังการนอนหัวค่ำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน

ทั้งนี้ ปัจจัยทั้งจากตัวลูกเองและสิ่งแวดล้อมนี้อยากให้คุณแม่ลองสังเกตดูว่าลูกนั้นนอนหลับยากมานานหรือยัง ถ้านานแล้วและยังแก้ไขไม่ได้ แนะนำให้พาไปปรึกษาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ปัญหาต่อไปค่ะ

วิธีแก้ไขเมื่อลูกนอนยาก

  • พยายามกำหนดเวลาเข้านอนและเวลาตื่นให้เป็นเวลาที่สม่ำเสมอ
  • ก่อนนอนควรฝึกให้ลูกมีกิจวัตรก่อนนอนที่สงบ ง่ายที่สุด และสม่ำเสมอ
  • ฝึกให้ลูกรู้จักกลางวันและกลางคืนอย่างชัดเจน เช่นตอนกลางวันพาออกไปเดินเล่นให้เห้นแสงธรรมชาติบ้าง ตอนกลางคืนทำบรรยากากาศให้เงียบสงบเหมาะกับการนอน เป็นต้น
  • ก่อนกล่อมลูกนอนให้เปิดไฟสลัวๆ ทิ้งไว้ เมื่อลูกหลับแล้ว ให้เปิดไฟนั้นทิ้งไว้ทั้งคืน หรือหรี่ลงอีกลงน้อย ลูกจะรู้สึกปลอดภัยและหลับสนิท
  • หลีกเลี่ยงการมีทีวีหรือคอมพิวเตอร์ในห้องนอน
  • อุณหภูมิในห้องมีส่วนทำให้ลูกตื่นขึ้นมากลางดึกได้ง่าย อากาศร้อนทำให้เด็กเหงื่อออกรู้สึกไม่สบายตัว จึงตื่นขึ้นมากลางดึก และงอแง แต่หากอากาศเย็นเกินไป ทำให้ลูกไม่สบายได้ ดังนั้นอุณหภูมิห้องที่เหมาะกับลูกจะประมาณ 24-26 องศาเซลเซียสค่ะ
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมก่อนนอนที่ตื่นเต้นเกินไป เช่น การเล่นรุนแรง การดูหนังผี เป็นต้น
  • ให้ลูกดูดจุกปลอมก่อนนอน เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ลูกนอนหลับดี พอหลับสนิทค่อยดึงออก หากลูกตื่นและต้องการดูดจุกหลอกให้ลองเปลี่ยนเป็นตบหลังเบาๆ แทน และไม่ควรใช้วิธีนี้นานเกิน 1 ขวบ
  • ถ้าลูกตื่นหลังหลับไปแล้ว ตอนสนองกับลูกน้อยที่สุดและช้าที่สุด พยายามให้ลูกนอนหลับต่อด้วยตนเอง
  • หลีกเลี่ยงการให้ลูกทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ในน้ำอัดลม กาแฟ ช็อกโกแลต เป็นต้น
  • เปิดเพลงคลอเบาๆ จะช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย หลับสบาย หรือคุณแม่จะลองฮัมเพลงเบาๆ ก็ได้ค่ะ
  • อย่าให้ลูกนอนกลางวันมากนัก โดยเฉพาะช่วงเย็นๆ จะทำให้ไม่ง่วงเมื่อใกล้เวลานอนตามปกติ
  • เสื้อผ้าที่ลูกใส่ควรใส่สบาย เนื้อผ้าต้องโปร่งสบาย ไม่อึดอัด
  • ให้ลูกได้ออกกำลังและวิ่งเล่นพอสมควรตอนกลางวัน จะทำให้ลูกนอนหลับได้ง่ายขึ้น
  • ก่อนนอนคุณแม่อาจจะใช้มือลูบหลังของเขาเบาๆ ตบก้น เมื่อลูกรู้สึกอุ่นใจ เขาจะสบายใจ และนอนหลับได้ดี

การนอนสำหรับลูกนั้นสำคัญมากในแง่ของการส่งเสริมพัฒนาการ ควรให้ลูกนอนอย่างเพียงพอ นอกจากลูกแล้ว คุณแม่ก็ควรนอนอย่างเพียงพอด้วยนะคะ จะได้แข็งแรงกันทั้งคู่เลยค่ะ

ที่มา

Writer Profile : giftoun


  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



เพลงฮิตที่คุณแม่มักกล่อมลูกน้อยหลับ
กิจกรรมของครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save