fbpx

วิธีบำบัดเมื่อลูกเกิดบาดแผลทางใจในวัยเด็ก

Writer : nunzmoko
: 29 มีนาคม 2562

จากการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงจากประสบการณ์เลวร้ายประเภทต่างๆ เช่น คำพูดที่ทำให้รู้สึกต่ำต้อยและอับอาย การถูกทอดทิ้งทางกายและทางความรู้สึก การใช้ชีวิตร่วมกับพ่อแม่ที่มีโรคทางจิต การเห็นแม่ของตนถูกรังแกต่อหน้าต่อตา เป็นต้น บาดแผลในวัยเด็กเหล่านี้ เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยเรื้อรังเมื่อโตขึ้นไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคภูมิต้านตนเอง เป็นต้น เพื่อทำความเข้าใจกับปัญหาให้มากขึ้น และเยียวยาจิตใจจากบาดแผลในวัยเด็กด้วยทางเลือกที่สร้างสรรค์ ซึ่งจะมีการบำบัดด้วยวิธีใดบ้างไปติดตามกันค่ะ

“ช่วงปีของวัยเด็กไม่ได้สูญหายไปไหนเลย แต่เป็นเหมือนรอยเท้าของเด็กที่เหยียบลงบนซีเมนต์เปียก ซึ่งแปลว่ามันถูกประทับไปตลอดชีวิต”

ประโยคจากหนังสือ “เกินกว่าเจ็บปวด Childhood Disrupted”

เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าความทุกข์เรื้อรังเหล่านี้ได้เข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างทางสมองของเด็ก เปลี่ยนแปลงการแสดงออกของยีนที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งมันไปกระตุ้นการตอบสนองต่อความเครียดด้วยกระบวนการอักเสบที่มากเกินไปสำหรับชีวิต เลยทำให้เด็กเสี่ยงต่อการเกิดโรคเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่รอยประทับแห่งประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กที่ถูกทิ้งไว้ในสมองของเรา ก็สามารถลบร่องรอยเหล่านี้ไม่ให้ติดตัวเราไปตลอดชีวิตได้เช่นกัน

วิธีบำบัดจากบาดแผลในวัยเด็ก

1. เขียนเพื่อบำบัด

การเขียนบอกเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต มันคือวิธีการที่ได้ระบายสิ่งที่อึดอัดที่เก็บกดไว้นาน ซึ่งจากงานวิจัยทางจิตวิทยา ได้ชี้ชัดว่า การเขียนช่วยให้ผู้ป่วยลดความตึงเครียดลงได้ นักจิตวิทยาท่านหนึ่งเสนอชุดการเขียนไว้เป็นตัวอย่าง คือ ช่วงสี่วันจากนี้ ขอให้เขียนถึงอารมณ์ในส่วนลึกสุด และเลือกเวลาเขียนให้เหมาะ ปล่อยวางและสำรวจเหตุการณ์นั้นว่ามันส่งอย่างไร อาจจะโยงกับประสบการณ์นี้เข้ากับวัยเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่ คนที่เคยรักหรือยังรักอยู่ เขียนไปเรื่อยๆ วันละ 20 นาที

2. วาดเพื่อบำบัด

อาจจะเริ่มต้นวาดภาพที่พอจะนึกออก เป็นภาพทิวทัศน์ หรือภาพครอบครัวดูว่าเกิดภาพอะไรขึ้นมาได้บ้าง จากนั้นทิ้งภาพนั้นไว้และกลับมาดูใหม่ในวันหลังเพื่อวิเคราะห์ ทำเหมือนว่ากำลังแปลความฝัน มันช่วยให้เกิดความเข้าใจอะไรขึ้นบ้างหรือไหม ในกระบวนการ “ศิลปะบำบัด” ถึงแม้ยังไม่สามารถสรุปได้ถ่องแท้ถึงกระบวนการนี้ ที่ช่วยเปิดเผยบาดแผลในอดีตได้อย่างไร แต่มันก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยค้นหาสิ่งที่ลืมไปหรือจิตใต้สำนึกที่พยายามซ่อนไว้

3. การฝึกสมาธิ

การฝึกสมาธิเป็นวิธีที่ซ่อมแซมสมองได้ดีที่สุด ช่วยเปลี่ยนสมองของเราได้ เพราะมันคือการดูแลจิตใจตนเองเป็น สามารถลดความเครียดได้เร็ว ที่สถาบันด้านจิตเวชที่นำเรื่องการฝึกสมาธิไปใช้กับเด็กที่มีบาดแผลทางใจ สามารถทำให้วงจรสมองที่เคยอ่อนแอจากความทุกข์กลับแข็งแรงขึ้นได้ รวมทั้งกลีบสมองส่วนหน้าและฮิปโปแคมปัสด้วย ซึ่งการฝึกสมาธิยังช่วยให้คนเราควบคุมอารมณ์ และทบทวนตัวเองได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้การทำสมาธิยังทำให้การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติชะลอลงซึ่งจะทำให้จิตใจกลับคืนสู่ความเป็นปกติได้เร็วขึ้น

4. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายหรือการฝึกโยคะ เป็นการซ่อมร่างกาย เพื่อปลดปล่อยเราจากอดีตที่เคยต้องต่อสู้ หนี ถอย หรือภาวะการแช่แข็งมาตลอดชีวิต ช่วยปลดปล่อยความตึงเครียดที่สะสมในกล้ามเนื้อและลดกระบวนการอักเสบได้

5. ฝึกการรับรู้ความรู้สึกทางกาย

การฝึกฝนด้วยการกลับมารับรู้ความรู้สึกทางกาย คือกระบวนการที่ช่วยให้กลับมาดำรงอยู่กับศูนย์แกนกลางของจิตใจ ผ่อนแรงขับต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ร่างกายลง ซึ่งช่วยให้เปลี่ยนสภาวะที่ดำเนินไปอย่างเป็นอัตโนมัติที่หลับไหลมาสู่การรับรู้อย่างมีสติ การรับรู้ความรู้สึกทางกายเป็นวิธีที่ปลอดภัยในการปลดปล่อยอารมณ์ต่างๆ ที่กักเก็บไว้

6. เข้าบำบัดกับนักบำบัด

เข้าบำบัดกับนักบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อเยียวยาบาดแผลในวัยเด็ก เพราะเพียงการดูแล กาย ใจ จิต ในแบบที่เราถนัด อาจจะไม่เพียงพอต่อการสะสางอดีตที่ยังคงตกค้างอยู่ในความทรงจำ การที่มีนักบำบัดจะช่วยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในสมอง และความรู้สึกที่เด็กมีต่อตัวเองจะค่อยๆ พัฒนาและสร้างสรรค์ขึ้น นักบำบัดผู้มีความเชี่ยวชาญยังมีอีกหลากวิธีในการนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับโมเลกุลได้ด้วยการใช้การจินตนาการเชิงบวก เพื่อกระตุ้นการจัดการกับความรู้สึกทางกายและความทรงจำลบๆ ที่ผุดขึ้นมาอีกด้วย

มีผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยความหวาดกลัว ขี้ระแวงเกินเหตุ และด้วยสภาวะเซลส์สมองอักเสบระดับต่ำๆ โดยอาจจะไม่รู้ตัว สมองก็จะถูกกำหนดการทำงานที่ต้องสู้กับภาวะอารมณ์ขุ่นเคืองไม่แจ่มใส และไม่อาจใช้ชีวิตได้เต็มศักยภาพ มองสิ่งต่างๆ เกินเลยจากสิ่งที่เป็นจริงอยู่เสมอ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขานั้นเป็นเรื่องดีหรือไม่ และโดยส่วนใหญ่พวกเขามักจะมองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเลวร้ายมากกว่าคนอื่น ดังนั้นการบำบัดบาดแผลในวัยเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องให้ความสำคัญ เพราะถ้าเราละเลยก็จะทำให้เกิดผลกระทบระยะยาวทั้งด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ

ข้อมูลจาก – the potential

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



8 กีฬาฝึกลูกไว้ไม่มีเชย
กิจกรรมของครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save