fbpx

อยากให้ลูกเรียนเก่งขึ้น ลองให้ทำงานบ้านดูสิ

Writer : giftoun
: 8 มกราคม 2561

ถ้าอยากให้ลูกเรียนเก่งมีได้หลายวิธี ทั้งอ่านหนังสือหรือเรียนพิเศษเพิ่มเติม แต่เชื่อหรือไม่ถ้าลองให้ลูกทำงานบ้านเพิ่มขึ้นก็สามารถทำให้ลูกเรียนเก่งขึ้นได้เช่นกัน จะมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

มีงานวิจัยที่ทดสอบเด็กบอกมา

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ทดสอบกับเด็กระดับชั้น ป.1 ที่ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ แล้วพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อผลการเรียน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการลงทุนในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าโรงเรียน การเรียนกวดวิชาเพิ่มเติม หรือ สถานะทางการเงินของครอบครัวนะคะ แต่สิ่งที่มีผลมากต่อผลการเรียนของเด็กคือการถูกจัดสรรหน้าที่ในการทำงานบ้านต่างหาก

เพราะวินัยขั้นแรกคือการรับผิดชอบตัวเอง

เมื่อเด็กญี่ปุ่นอายุประมาณ 2 ขวบ คุณพ่อและคุณแม่จะฝึกให้ลูกทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง เช่น การสวมใส่หรือถอดเสื้อผ้า การรับประทานอาหาร การแปรงฟัน การขับถ่าย เป็นต้น ซึ่งคุณพ่อและคุณแม่อาจจะคอยช่วยเหลือบ้าง แล้วคอยชื่นชมเวลาเขาทำได้ดี เมื่ออายุสัก 3 – 4 ขวบ ลูกจะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้มากขึ้นเอง นี่คือ “การรับผิดชอบดูแลตัวเอง” ซึ่งเป็นวินัยขั้นแรกสุดที่พ่อแม่ ต้องปลูกฝังให้กับลูก แล้วพอลูกอายุเริ่ม 5 ขวบแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องมอบหมายให้เขาช่วยทำงานบ้านบางอย่างได้แล้ว เช่น ช่วยหยิบนั่น ถือนี่ เก็บนั่นเก็บนี่ และเมื่อเขาโตขึ้น ก็ค่อยๆ มอบหมายงานบ้านให้เขารับผิดชอบเป็นกิจลักษณะมากขึ้น เช่น ต้องล้าง จานในมื้ออาหารเย็นทุกวัน ถูบ้านทุกวันเสาร์ ฯลฯ

งานบ้านนั้นฝึกการวางแผน ส่งผลต่อความเป็นผู้ใหญ่

การให้ลูกทำงานบ้านจะทำให้เขาได้ฝึกวางแผนงาน และจัดลำดับความสำคัญด้วยตัวของเขาเองได้ เช่น จะจัดสรร เวลาไหนมาทำงานบ้าน เวลาไหนทำการบ้าน และเวลาไหนไปเล่น ซึ่งแปลว่าจะต้องทำงานนั้นให้เสร็จก่อนกี่โมง ควรทำ อะไรก่อน อะไรหลัง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความคิดอ่าน และความเป็นผู้ใหญ่ของลูกในอนาคตได้ค่ะ

งานบ้านที่เหมาะกับเด็กอายุ 2-4 ปี

– เอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไปใส่ตะกร้าซัก
– เก็บของเล่น รองเท้าเข้าที่
– เอาขยะแห้งไปทิ้งลงถังขยะ
– ช่วยหยิบของที่ไม่มีอันตราย (ไม่แหลม ไม่ร้อน ไม่หนัก)
– ช่วยเตรียมโต๊ะอาหารในส่วนของตัวเอง

งานบ้านที่เหมาะกับเด็กอายุ 5-7 ปี

– รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารสัตว์เลี้ยง
– พับผ้าเช็ดตัว
– จัดเตียง
– เช็ดโต๊ะ จัดโต๊ะอาหาร
– ทิ้งเศษอาหารแล้วเอาจานไว้ไปวางไว้ในที่ล้าง

งานบ้านที่เหมาะกับเด็กอายุ 8-10 ปี

– กวาดบ้าน ถูบ้าน ดูดฝุ่น
– เก็บผ้า ตากผ้า พับผ้า
– เอาถุงขยะไปทิ้งหน้าบ้าน
– ล้างจาน
– ทำอาหารง่ายๆ เช่น ไข่เจียว
– ล้างอ่างล้างหน้า อ่างล้างจาน

งานบ้านที่เหมาะกับเด็กอายุ 11 ปีขึ้นไป

– ทำอาหารได้เอง
– ไปซื้อของที่ร้านแถวบ้าน
– ล้างรถ ล้างห้องน้ำ
– เอาขยะไปทิ้งหน้าบ้าน
– ซักกางเกงใน ถุงเท้าของตัวเอง
– ซ่อมแซมเสื้อผ้า
– รีดผ้า (14 ปีขึ้นไป)

เมื่อเห็นประโยชน์ของการทำงานบ้านแล้ว ลองเลือกให้ลูกทำงานบ้านตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัยได้เลยค่ะ

ที่มา – ซูเปอร์จิ๋ว แมกกาซีน

Writer Profile : giftoun


  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



อยากพาลูกไปกางเต้นท์ เตรียมตัวอย่างไรดี
กิจกรรมของครอบครัว
วิธีพาลูกขึ้นขนส่งสาธารณะครั้งแรก
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
รวมกิจกรรมดึงลูกออกนอกจออย่างง่ายๆ
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
“Fun English” เกมส์ฝึกภาษาสำหรับเด็ก
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
8 วิธีให้ลูกดื่มน้ำเยอะขึ้น
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
ทำอย่างไรเมื่อลูกแย่งของเล่นกัน
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
เด็กวัยเข้าโรงเรียน เด็กวัยเข้าโรงเรียน
7 กรกฏาคม 2560
ทำอย่างไรเมื่อลูกรัก “ติดจอ”
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save